Tuesday, 25 December 2018

กลับบ้านเรา...รักรออยู่


Photo By : Pung′Noey


อีกไม่กี่วันก็จะเข้าสู่ช่วงเทศกาลปีใหม่ 
เทศกาลที่ใครหลาย ๆ คนได้มีวันหยุดยาว ได้มีเวลาพักผ่อน ท่องเที่ยว 
หรือ เดินทางกลับสู่ภูมิลำเนา กลับสู่บ้านเราที่มีรักรออยู่

หลายคนต้องจากบ้านเกิดเมืองนอน ห่างจากอกพ่อแม่ ห่างจากอ้อมกอดของลูก 
เพื่อมาอดทนขายแรงงาน ขายความคิด ขายเวลาของชีวิตในเมืองอุตสาหกรรม

หลายคนอยากหลีกหนีความจน ดิ้นรนให้พ้นความยากลำบาก
จึงเดินทางมาทำงานแลกเงินในเมืองหลวง เมืองใหญ่

หลายคนยังเป็นนักเรียน นักศึกษา 
ห่างจากบ้านมาเพื่อไขว่คว้าวุฒิ ปริญญา ตามความฝันที่คิดไว้

ไม่ว่าจะด้วยสถานภาพทางสังคมแบบไหน 
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลหรือสาเหตุใด
จงทิ้งความเหนื่อยล้า
จงทิ้งความเศร้า
จงทิ้ง
ความไม่ดีไว้ที่ปีเก่า
แล้วหอบเอาความสุขที่ยังพอมี
เดินทางกลับไปซบลงที่ตรงตักพ่อแม่
เดินทางกลับไปรับอ้อมกอดจากลูกที่ห่วงใย

ถึงแม้วันนี้ ...
หากใครที่ไม่มีบ้าน ไม่มีใครให้กลับไปหา
โปรดจงใช้เวลาอยู่กับตัวเอง ทบทวนสิ่งที่ผ่านมา
ตั้งรับกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น สร้างความสุขในแบบของเรา
สร้างคำว่าบ้าน คำว่ารัก อย่าจมปรักกับความทุกข์เศร้า
ชีวิตเราที่เกิดมาย่อมมีคุณค่าและความหมายเสมอ


เวลาในชีวิตมันสั้นเกินกว่าที่เราคิด

จงทำทุกวัน เวลา นาที ให้ดีที่สุด

กลับบ้านเรา รักรออยู่

ขอให้ทุกท่านจงมีความสุข ^^

🌟 สวัสดีปีใหม่ ๒๕๖๒ 🌟




Pung′Noey :)





 

Monday, 17 December 2018

คิดบวกไปทำไม?


คิดบวก!! โลกสวย!! หลอกตัวเอง!! มองโลกในแง่ดี!!
อะไรคือคำจำกัดความ หรือ นิยาม สำหรับความคิดของคุณ?



     มนุษย์ล้วนมีความคิดที่ย้อนแย้งกันอยู่ตลอดเวลา วันนี้คิดดี พรุ่งนี้อาจจะคิดลบ เพราะว่า "ความคิด" มันเปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์ที่เราพบเจอในแต่ละวัน ในหนึ่งวันที่เราใช้ชีวิตจะคิดแง่ร้ายก็ได้ จะคิดแง่ดีก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าเรารู้เท่าทันความคิดและอารมณ์ของตนเองหรือไม่

ขอบคุณรูปภาพจาก www.canva.com

หากคุณยังไม่รู้ว่าจะคิดบวกไปทำไม? โปรดรู้ไว้ว่า ...
  • ความคิดเป็นของคุณ
คุณเป็นเจ้าของความคิด ไม่มีใครสามารถมาบังคับให้คุณคิดได้ คุณมีสิทธิ์ตัดสินใจได้ว่าอยากเป็นคนที่มีระบบความคิดแบบไหน หากคุณเชื่อในกฎแห่งแรงดึงดูด คุณจะพอทราบว่า คิดเช่นไร มักได้เช่นนั้น เพราะความคิดส่งผลต่อพฤติกรรมเช่นกัน
  • ความคิดเป็นของฟรี
แน่นอนว่าความคิดเป็นสิ่งที่คุณสามารถสร้างขึ้นเองได้โดยไม่ต้องเสียเงิน ไม่ต้องลงทุน ดังนั้น คุณเลือกได้ว่าอยากได้ความคิดฟรีที่ดีและเหมาะสม หรือ อยากได้ความคิดฟรีที่บั่นทอนชีวิตและจิตใจ

  • ความคิดเป็นของดี
ความคิดดีเปรียบดั่งอัญมณี เปรียบดั่งเพชรที่กว่าจะงดงามต้องผ่านการเจียระไน เช่นเดียวกับความคิดดีไม่ได้เกิดขึ้นง่าย ๆ ต้องผ่านกระบวนการฝึกฝน เรียนรู้ วิเคราะห์ ตกผลึก จนเกิดเป็นความเข้าใจ ความเคยชิน เป็นสมบัติของดีที่จะอยู่ติดตัวเราไปตลอดชีวิต


     คนที่รู้จักคิดบวก ไม่ใช่คนโลกสวย ไม่ใช่คนที่หลอกตัวเอง ไม่ใช่การมองโลกในแง่ดี แต่ คือคนที่มีวิธีการคิดและพร้อมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้ใช้ชีวิตอยู่บนโลกได้อย่างมีความสุข เข้าใจเหตุและผลของสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น จัดการปัญหาที่พบเจอได้โดยไม่ใช่แค่พร่ำบอกตัวเองว่าไม่เป็นไร ฉันทนได้ ฉันต้องอดทน ซึ่งมองโลกแบบเข้าใจสัจธรรมว่าทุกชีวิตย่อมมีสุข มีทุกข์ ด้วยกันทั้งสิ้น


🔶🔶🔶🔶🔶🔶🔶🔶🔶🔶🔶🔶🔶🔶🔶🔶🔶🔶🔶🔶🔶🔶🔶🔶🔶🔶🔶🔶🔶🔶🔶🔶🔶🔶🔶🔶🔶🔶🔶🔶


อย่าปล่อยให้ความคิดไหลผ่านเหมือนดั่งสายน้ำ
แต่จงสร้างอ่างเก็บน้ำเพื่อเก็บกักความคิด
แล้วนำสิ่งที่คิดมาก่อให้เกิดประโยชน์
เพื่อตนเองและผู้อื่น

Pung′Noey :)








Monday, 10 December 2018

เศรษฐกิจพอเพียง เพื่อชีวิตที่เพียงพอ


    หลาย ๆ คนอาจเคยได้ยิน ได้เห็น ได้เรียนรู้ คำว่า "เศรษฐกิจพอเพียง" กันมาบ้าง แต่น้อยคนนักที่จะหยิบยกพระราชดำริของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ๙ ซึ่งพระราชทานแนวความคิดมาปรับใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน 


 "เศรษฐกิจพอเพียง" ไม่ได้มุ่งเน้นให้ประชาชนทุกคนหันไปทำการเกษตรแต่เพียงอย่างเดียว แต่ เศรษฐกิจพอเพียงเป็นปรัชญาที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการทำงาน การทำธุรกิจ การวางแผน การดำเนินชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดี ยิ่งในยุคปัจจุบันที่มีเทคโนโลยีเข้ามาทำให้การใช้ชีวิตสะดวกสบาย มีค่าความนิยมต่อวัตถุสูงกว่าค่าแรงและเงินในกระเป๋า มีระบบสื่อสารที่รวดเร็วทันสมัย แต่สวนทางกับสภาพการเมืองและสภาวะเศรษฐกิจที่กำลังถดถอย สิ่งแวดล้อมที่กำลังเสื่อมโทรม การพึ่งพาตนเองเริ่มน้อยลง



Photo By : Pung′Noey

     เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาของรัชกาลที่ ๙ ทรงชี้แนะแนวทางให้แก่ประชาชนทุกคน ให้ดำรงตนอยู่บนพื้นฐานทางสายกลาง ความไม่ประมาท คำนึงถึงความพอประมาณ และสร้างภูมิคุ้มกันในตนเอง เพื่อให้สามารถดำรงชีวิตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน

   เศรษฐกิจพอเพียง ประกอบด้วย

๑. ความพอประมาณ คือ ความพอดีที่ไม่น้อยเกินไปและไม่มากเกินไป โดยไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น เช่น การผลิตและการบริโภคที่อยู่ในระดับพอประมาณ

๒. ความมีเหตุผล คือ การตัดสินใจเกี่ยวกับระดับความพอเพียง จะต้องเป็นไปอย่างมีเหตุผล โดยพิจารณาจากเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนคำนึงถึงผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการกระทำนั้น ๆ อย่างรอบคอบ

๓. ภูมิคุ้มกัน คือ การเตรียมตัวให้พร้อมรับผลกระทบและการเปลี่ยนแปลงด้านต่าง ๆ ที่เกิดจะขึ้น  โดยคำนึงถึงความเป็นไปได้ของสถานการณ์ต่าง ๆ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต

   โดยมี เงื่อนไข ๒ ประการ ดังนี้

๑. เงื่อนไขความรู้ ประกอบด้วยความรอบรู้ เกี่ยวกับวิชาการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องรอบด้าน ความรอบคอบที่จะนำความรู้เหล่านั้นมาพิจารณาให้เชื่อมโยงกัน เพื่อประกอบการวางแผนและความระมัดระวังในการปฎิบัติ

๒. เงื่อนไขคุณธรรม ที่จะต้องเสริมสร้างประกอบด้วย มีความตระหนักในคุณธรรม มีความซื่อสัตย์สุจริตและมีความอดทน มีความเพียร ใช้สติปัญญาในการดำเนินชีวิต

      หนึ่งในพระบรมราโชวาท ที่กล่าวไว้เมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๑๗

"คนอื่นจะว่าอย่างไรก็ช่างเขา จะว่าเมืองไทยล้าสมัย ว่าเมืองไทยเชย ว่าเมืองไทยไม่มีสิ่งที่ทันสมัย แต่เราอยู่พอมีพอกิน และขอให้ทุกคนมีความปรารถนา ที่จะให้เมืองไทยพออยู่พอกิน มีความสงบและทำงานตั้งจิตอธิษฐานตั้งปณิธาน ในทางนี้ที่จะให้เมืองไทย อยู่แบบพออยู่พอกิน ไม่ใช่ว่าจะรุ่งเรืองอย่างยอด แต่มีความพออยู่พอกิน มีความสงบ เปรียบเทียบกับประเทศอื่น ๆ ถ้าเรารักษาความพออยู่พอกินนี้ได้ เราก็จะยอดยิ่งยวดได้"



     จากแนวพระราชดำริ และ พระบรมราโชวาทนี้ จะเห็นได้ว่าพระองค์ท่าน ทรงเน้นให้ประชาชนพอมีพอกิน ให้ดำเนินชีวิตด้วยความเพียร ความอดทน มีสติ ปัญญา และความรอบคอบ เพื่อพร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลงทางด้านวัตถุ สังคม และวัฒนธรรมโลกภายนอก ซึ่งจะนำไปสู่ "ความสุข" ในการดำเนินชีวิตที่แท้จริง


ขอขอบคุณข้อมูลจาก

มูลนิธิชัยพัฒนา (เศรษฐกิจพอเพียง)




ความเจริญที่แท้จริง คือ ความเจริญทางจิตใจ

ความพอเพียงที่แท้จริง คือ ความเพียงพอที่พอใจ

เศรษฐกิจพอเพียง เพื่อชีวิตที่เพียงพอ


Pung′Noey :)



Thursday, 6 December 2018

3 ข้อ ที่ควรสร้างเพื่อให้พนักงานรักองค์กร



     ถึงแม้ในยุคปัจจุบัน หลาย ๆ บริษัทจะหันไปพึ่งพาเทคโนโลยี เครื่องมือ เครื่องจักร รวมทั้ง Digital Marketing กันซะส่วนใหญ่ แต่ในบางตำแหน่งงาน บางสาขาอาชีพ ก็ยังจำเป็นที่ต้องใช้ ทรัพยากรบุคคล ในการขับเคลื่อนธุรกิจให้เจริญเติบโต
     

     ดังนั้น จึงไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ทรัพยากรบุคคล ยังคงมีความจำเป็นในการดำเนินงานขององค์กร การพัฒนาบุคลากร รวมกระทั่งการสร้างแรงจูงใจในการทำงาน จึงเป็นส่ิงที่ผู้บริหารยังคงต้องให้ความสำคัญไม่แพ้ผลกำไรขาดทุน


ขอบคุณรูปภาพจาก www.canva.com

     การสร้างแรงจูงใจในการทำงาน เปรียบดั่งศิลปะรูปแบบหนึ่ง ที่ผู้บริหารหรือหัวหน้างานต้องสร้างสรรค์ พัฒนา บุคลากรให้เป็นไปตามวัฒนธรรมและนโยบายขององค์กร นอกเหนือจากผลตอบแทน สวัสดิการต่าง ๆ แล้ว สิ่งที่ผู้บริหารหรือหัวหน้างานควรเรียนรู้ ใส่ใจ คือ

1. การสร้างความชัดเจนในการปฏิบัติงาน 

     คำสั่ง หรือ รายละเอียด ตำแหน่ง หน้าที่ ความรับผิดชอบ ควรมีขอบเขตระบุอย่างชัดเจน เนื่องจากพนักงานจะได้รับทราบข้อปฏิบัติอย่างถูกต้อง โดยเฉพาะการมอบหมายงานให้เหมาะสมกับบุคคลที่มีคุณสมบัติและความสามารถ จะส่งผลให้พนักงานสามารถทำงานได้ตามแผนและเป้าหมายที่ตั้งไว้ ซึ่งบริษัทเองสามารถประเมินผลการทำงานของพนักงานได้อย่างมีระบบ

2. การสร้างความภักดีต่อองค์กร

     หากบริษัทคำนึงถึงแต่ความภักดีของลูกค้าที่มีต่อตราสินค้า หรือตราบริษัท โดยไม่ได้คำนึงถึงบุคลากรภายในที่จำเป็นต้องสร้างให้บุคลากรมีความรู้สึกดีต่องานที่ทำ ต่อองค์กรที่อยู่ บริษัทก็จะประสบปัญหาการปรับเปลี่ยน โยกย้าย ลาออกของพนักงานอยู่เสมอ แม้การโยกย้าย ลาออก จะเป็นเรื่องปกติที่จะต้องเจอทุกบริษัท แต่บางครั้งบริษัทอาจสูญเสียทรัพยากรบุคคลที่สำคัญต่อการบริหารงาน รวมทั้งเสียเวลาในการสรรหา เสียเวลาเรียนรู้ระบบการทำงานของบุคลากรใหม่ ซึ่งการสร้างความภักดี สามารถทำได้ง่าย ๆ  อย่างเช่น 

  • การสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีในการทำงาน
  • การสร้างโอกาส ความก้าวหน้าให้แก่พนักงาน
  • การทำกิจกรรมกระชับความสัมพันธ์ของบริษัท
  • การทำให้พนักงานรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของบริษัท
  • การให้เกียรติ เคารพ ในการทำงานของพนักงาน
  • การเปิดใจรับฟังปัญหา การช่วยแก้ไขปัญหา การช่วยเหลือ เป็นที่ปรึกษาของพนักงาน
  • ผู้บริหารหรือหัวหน้างานมีภาวะความเป็นผู้นำอย่างมีคุณภาพ มีความยุติธรรม


3. การสร้างแรงจูงใจด้วยใจ

     "จ้างด้วยใจ ก็ได้ใจ ... จ้างด้วยเงิน ก็ได้งาน" นี่คือ คำกล่าวส่วนนึงของพนักงาน ที่แสดงให้เห็นว่า หากบริษัทพร้อมจะบริหารทรัพยากรบุคคลด้วยใจ บุคลากรก็พร้อมจะให้ใจคืนกลับสู่บริษัท อาจจะเป็นในรูปแบบของการตั้งใจปฏิบัติงาน การสร้างสรรค์ผลงาน การแก้ปัญหาการทำงาน การแสดงความซื่อสัตย์ การพัฒนาตนเอง ซึ่งความสำเร็จของบริษัทเปรียบดั่งความสำเร็จของพนักงานเช่นกัน


❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤

พนักงานต้องตระหนักถึงหน้าที่ความรับผิดชอบเป็นสำคัญ

บริษัทก็จะตระหนักถึงความสำคัญของพนักงานเช่นเดียวกัน


Pung′Noey :)

Tuesday, 4 December 2018

เรื่อง พ่อของฉัน (My Dad on My Mind)





พ่อของฉัน คือ ผู้ชายธรรมดาที่สามารถดูแลรักษาให้ฉันปลอดภัย

พ่อของฉัน คือ ผู้ชายธรรมดาที่สามารถทำให้ฉันเป็นคนพิเศษได้
พ่อของฉัน คือ ผู้ชายธรรมดาที่สามารถเปลี่ยนน้ำตาเป็นรอยยิ้มได้
พ่อของฉัน คือ ผู้ชายธรรมดาที่สามารถสร้างฉันมาให้เป็นคนที่ดีได้
พ่อของฉัน คือ ผู้ชายธรรมดาที่สามารถทำม้าก้านกล้วยให้ฉันเล่นได้
พ่อของฉัน คือ ผู้ชายธรรมดาที่สามารถทำว่าวให้วิ่งเล่นช่วงหน้าหนาวได้
พ่อของฉัน คือ ผู้ชายธรรมดาที่สามารถหาเงินมาดูแลทุกคนในครอบครัวได้


พ่อของฉัน ชอบกินแต่ผัก แล้วแบ่งเนื้อสัตว์ไว้ให้ฉันกิน
พ่อของฉัน ชอบแกะก้างปลา แล้วเอาเนื้อปลามาให้ฉันกิน
พ่อของฉัน ชอบปอกเปลือกผลไม้ แล้วเอาใส่จานไว้ให้ฉันกิน
พ่อของฉัน ชอบกินแตงโม โดยเฉพาะแตงโมที่ฉันกินเหลือไว้ในตู้เย็น
พ่อของฉัน ชอบพูดว่าไม่เหนื่อย แม้เหงื่อบนหน้าไหลออกมาสวนทางกับคำพูด
พ่อของฉัน ชอบพูดว่าไม่เจ็บ แม้นิ้วที่ดามเหล็กไว้ยังพันแผลและบวมอยู่
พ่อของฉัน ชอบถามฉันว่า เรียนเป็นไงบ้าง เหนื่อยมากไหมลูก
พ่อของฉัน ชอบพูดเสมอว่า ตั้งใจทำงาน อดทนเอานะลูก
พ่อของฉัน ชอบบอกทุกครั้ง เกิดมาเป็นคนต้องสู้นะลูก
พ่อของฉัน ชอบสอนบ่อย ๆ ว่าต้องรู้จักเก็บหอมรอมริบ ใช้ชีวิตอย่าประมาท
พ่อของฉัน ชอบส่งไลน์มาพร้อมข้อความว่า สวัสดีวันจันทร์ อังคาร พุธ พฤหัส ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์

พ่อของฉันไม่ใช่คนรวย แต่ทุกสิ่งที่พ่อมอบให้ มันมีค่ามากกว่าเงินทอง

คำสอนของพ่อ คือ สมบัติที่ล้ำค่ามากกว่าสิ่งใด
คำอวยพรจากพ่อ คือ กำลังใจที่เติมได้ไม่มีหมด
ความรักจากพ่อ คือ เกราะคุ้มภัยที่ดีที่สุดในโลก

รักพ่อ ... จากลูก

Pung′Noey :)

Monday, 3 December 2018

[เกร็ดความรู้] ว่างงาน ถูกเลิกจ้าง มีสิทธิได้รับเงินชดเชย



ขอบคุณรูปภาพจาก www.canva.com


      ในยุคสภาวะเศรษฐกิจไม่ดี ค่าครองชีพสูง กำลังการใช้จ่ายเข้าสู่สภาวะถดถอย ทำให้หลาย ๆ บริษัท ต้องปรับโครงสร้างการบริหาร ปรับลดจำนวนพนักงาน ลดค่าใช้จ่ายเพื่อความอยู่รอดขององค์กร ซึ่งสำหรับชาวมนุษย์เงินเดือนแล้ว สิ่งที่ไม่อยากพบเจอนั่นก็คือ การตกงาน ว่างงาน แบบกะทันหัน

     หากคุณต้องพบเจอเหตุการณ์เช่นนี้ นอกจากการตั้งสติรับมือแล้ว คุณยังต้องรู้จักรักษาสิทธิของตนเอง ดังนั้นบทความนี้จะพาคุณไปพบเกร็ดความรู้ขั้นพื้นฐาน เพื่อรับสิทธิว่างงานจาก สำนักงานประกันสังคม


    ขั้นตอนที่ 1 ตรวจสอบสิทธิประกันสังคม


          สำหรับผู้ที่จะมีสิทธิได้รับค่าชดเชยกรณีว่างงานจากประกันสังคม ต้องเป็นผู้ประกันตนที่จ่ายเงินสมทบมาแล้ว 6 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือน ก่อนการว่างกับกับนายจ้างรายสุดท้าย ซึ่งมีระยะเวลาการว่างงานตั้งแต่ 8 วันขึ้นไป

     สิทธิที่จะได้รับในระหว่างการว่างงาน
  • กรณีลาออกหรือสิ้นสุดสัญญาจ้าง
จะได้รับเงินทดแทนปีละไม่เกิน 90 วัน ในอัตราร้อยละ 30 ของค่าจ้าง โดยคำนวณจากฐานเงินสมทบขั้นต่ำเดือนละ 1,650 บาท และฐานเงินสมทบสูงสุดไม่เกิน 15,000 บาท เช่น ถ้าคุณมีเงินเดือนเฉลี่ย เดือนละ 10,000 บาท คุณจะได้รับค่าชดเชยเดือนละ 3,000 บาท
  • กรณีถูกเลิกจ้าง
จะได้รับเงินทดแทนปีละไม่เกิน 180 วัน ในอัตราร้อยละ 50 ของค่าจ้าง โดยคำนวณจากฐานเงินสมทบขั้นต่ำเดือนละ 1,650 บาท และฐานเงินสมทบสูงสุดไม่เกิน 15,000 บาท เช่น ถ้าคุณมีเงินเดือนเฉลี่ยเดือนละ 10,000 บาท คุณจะได้รับค่าชดเชยเดือนละ 5,000 บาท

     โดยผู้ที่ว่างงานต้องไม่ถูกเลิกจ้างด้วยสาเหตุ ดังต่อไปนี้
  • ทุจริตต่อหน้าที่กระทำผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้าง
  • จงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย
  • ฝ่าฝืนข้อบังคับ หรือ ระเบียบเกี่ยวกับการทำงาน หรือคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายในกรณีร้ายแรง
  • ละทิ้งหน้าที่เป็นเวลา 7 วันทำงานติดต่อกัน โดยไม่มีเหตุอันควร
  • ประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้นายจ้างได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง
  • ได้รับโทษจำคุกตามคำพิพากษา
  • ต้องมิใช่ผู้มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนกรณีชราภาพ

     ขั้นตอนที่ 2 ขึ้นทะเบียนและรายงานตัวกับ กรมการจัดหางาน
        
          หากคุณตรวจสอบแล้วว่าคุณมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงาน ขั้นตอนต่อมาคือการขึ้นทะเบียนและรายงานตัวกับ สำนักงานจัดหางานของรัฐ ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ลาออกหรือถูกเลิกจ้าง หรือสิ้นสุดสัญญาจ้าง สามารถขึ้นทะเบียนผู้ว่างงานผ่านระบบอินเทอร์เน็ตได้ที่เว็บไซต์ https://empui.doe.go.th จากนั้นระบบจะออกเอกสารหนังสือรับรองการขึ้นทะเบียนผู้ประกันตนกรณีว่างงาน เพื่อใช้เป็นหลักฐานยืนยันในการขึ้นทะเบียนรับสิทธิว่างงานของสำนักงานประกันสังคม โดยผู้ว่างงานต้องรายงานตัวตามกำหนดนัดผ่านระบบอินเทอร์เน็ตของสำนักงานจัดหางาน ไม่น้อยกว่าเดือนละ 1 ครั้ง 


     ขั้นตอนที่ 3 ขึ้นทะเบียนผู้ประกันตนกรณีว่างงานกับ สำนักงานประกันสังคม

          หลักฐานที่ต้องใช้เพื่อขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงาน มีดังนี้

  1. แบบคำขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงาน (สปส. 2-01/7)
  2. หนังสือหรือคำสั่งของนายจ้างให้ออกจากงาน (ถ้ามี)
  3. หนังสือรับรองการขึ้นทะเบียนผู้ประกันตนกรณีว่างงานของกรมการจัดหางาน
  4. สำเนาสมุดบัญชีเงินฝากประเภทออมทรัพย์หน้าแรกซึ่งมีชื่อและเลขที่บัญชี ผ่าน 11 ธนาคาร ดังนี้
          1.) ธนาคารออมสิน
          2.) ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย
          3.) ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)
          4.) ธนคารธนชาต จำกัด (มหาชน)
          5.) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)
          6.) ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)
          7.) ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน)
          8.) ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)
          9.) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)
          10.) ธนคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)
          11.) ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย จำกัด (มหาชน)


     สถานที่ยื่นเรื่อง : สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่ / สำนักงานประกันสังคมจังหวัดและสาขาทั่วประเทศ 
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทรสายด่วน 1694 ในวันและเวลาราชการ 08.30-16.30 น.

     

ขอบคุณข้อมูลจาก

สำนักงานประกันสังคม
กรมการจัดหางาน




"อย่าปล่อยให้ตกงานแล้วค่อยเปลี่ยนแปลง 

จงสร้างการเปลี่ยนแปลงก่อนเริ่มว่างงาน"


Pung′Noey :)


     





Thursday, 29 November 2018

วิเคราะห์ตัวเองด้วยเทคนิค SWOT Analysis


การวิเคราะห์ตัวเองด้วยเทคนิค SWOT Analysis คืออะไร? 

แล้วทำไมจึงต้องวิเคราะห์ตัวเอง?

ขอบคุณรูปภาพจาก www.canva.com


     ก่อนอื่นจะพาทุกคนไปรู้จักคำว่า SWOT กันก่อน


     การวิเคราะห์ SWOT (สวอต) เป็นเครื่องมือในการประเมินสถานการณ์สำหรับองค์กร ใช้ในการบริหารธุรกิจ ซึ่ง SWOT เป็นเทคนิคที่ใช้ศึกษาในหลักสูตร Marketing Management ถูกคิดค้นโดย ศาสตราจารย์ อัลเบอร์ต ฮัมฟรีย์ (Albert Humphrey) แห่งมหาวิทยาลัยแสตนฟอร์ต โดยคิดค้นขึ้นระหว่างปี ค.ศ.1960-1970

     ความหมายของ SWOT คือ



  • S     มาจากคำว่า     Strength           หมายความว่า      จุดแข็ง
  • W   มาจากคำว่า     Weakness         หมายความว่า      จุดอ่อน
  • O    มาจากคำว่า     Opportunity    หมายความว่า       โอกาส
  • T    มาจากคำว่า      Threat             หมายความว่า       อุปสรรค

     ดยสามารถแบ่ง SWOT ออกเป็นกลุ่มหลัก ได้ 2 กลุ่ม คือ

  1.  ปัจจัยภายใน (Internal Factor) เป็นปัจจัยที่ควบคุมได้ ประกอบไปด้วย S และ W
  2.  ปัจจัยภายนอก (External Factor) เป็นปัจจัยที่ควบคุมได้ยาก หรือ ไม่สามารถควบคุมได้ ประกอบไปด้วย O และ T

     ทีนี้ทุกคนคงจะพอรู้จัก SWOT กันคร่าว ๆ ไปแล้ว ดังนั้นเรามาดูกันต่อว่าเราจะสามารถนำเทคนิค SWOT Analysis มาวิเคราะห์ตัวเองได้อย่างไรบ้าง ซึ่งต่อไปนี้เป็นตัวอย่างการวิเคราะห์ตัวเองของผู้เขียน

  • จุดแข็ง (Strength)
1. เป็นคนรักความถูกต้อง ความยุติธรรม
2. มีมนุษย์สัมพันธ์ดี ชอบช่วยเหลือผู้อื่น
3. มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตนเอง
4. มีความซื่อสัตย์ อดทน มั่นคงในความคิดของตัวเอง
5. มีความสนใจและชื่นชอบในด้านงานเขียนและจิตวิทยา

  • จุดอ่อน (Weakness)
1. ไม่มีความคิดสร้างสรรค์ ชอบเพ้อฝันเกินจริง
2. ไม่มีภาวะความเป็นผู้นำ ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง
3. ไม่ค่อยขวนขวายหาความรู้ ปล่อยเวลาให้เปล่าประโยชน์
4. มีความขี้เกียจ (ในบางเวลา) ชอบหาข้ออ้างในการผัดวันประกันพรุ่ง
5. เป็นคนพูดจาขวานผ่าซาก มีความเป็นตัวเองสูงจนดูเหมือนคนก้าวร้าว


  • โอกาส (Opportunity)
1. ในยุคปัจจุบันมีแหล่งเข้าถึงข้อมูลที่ต้องการศึกษาค้นคว้า หาความรู้เพิ่มเติม หาแรงบันดาลใจในสิ่งที่สนใจ ได้อย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ หรือ โซเชียลมีเดียต่าง ๆ
2. การเติบโตของ Digital Marketing เป็นไปอย่างรวดเร็ว ทำให้สิ่งที่เราสนใจ สิ่งที่เราอยากสื่อสาร สามารถส่งออกไปยังกลุ่มเป้าหมายได้ตรงจุด รวดเร็ว และหลากหลายช่องทาง
3. ได้รับการสนับสนุนจากครอบครัวในช่วงที่ว่างงาน เพื่อมีโอกาสได้ทำตามความชอบ ความสนใจ

  • อุปสรรค (Threat)
1. จากสภาวะเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ในปัจจุบันส่งผลให้การหางานประจำค่อนข้างยากลำบาก
2. จากการเติบโตของโลก Online หากต้องการทำงานหารายได้จากงานเขียน ไม่ว่าจะเป็น รับจ้างเขียนบทความ ทำ Blog หรือ Website อาจเป็นไปได้ยาก เนื่องจากมีคู่แข่ง และ Content ที่น่าสนใจเพิ่มมากขึ้น
3. เมื่อพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป ธุรกิจเกิดการปรับตัว ปรับเปลี่ยนองค์กร รวมทั้งเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นมาใหม่ ส่งผลให้ทุกภาคส่วนลดต้นทุน ค่าใช้จ่าย จึงเกิดภาวะการว่างงานสูงและการแข่งขันก็สูงตาม 


     อ่านมาถึงตรงนี้หลายคนคงสงสัยว่าแล้วเราจะวิเคราะห์ตัวเองไปทำไมล่ะ ในเมื่อ SWOT มันเป็นหลักการที่ใช้วิเคราะห์สำหรับธุรกิจ จะเอามาวิเคราะห์ตัวเองไปเพื่ออะไร ... ผู้เขียนอยากบอกว่า ประโยชน์ของ SWOT ไม่ได้แค่ใช้ในเชิงธุรกิจเพียงอย่างเดียว แต่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้กับหลาย ๆ เรื่อง เช่น การวิเคราะห์ต้วเอง การเรียน การทำงาน  เป็นต้น 

     ดังนั้นบทความนี้เขียนขึ้นมาเพื่อให้ผู้อ่านได้ให้เวลาทบทวนชีวิตของตัวเองบ้าง เมื่อคุณวิเคราะห์ได้ครบทุกข้อ จงลองจับคู่จุดแข็งกับโอกาสว่าคุณมีศักยภาพสำหรับโอกาสที่คุณมีหรือยัง หรือ ลองจับคู่จุดอ่อนกับอุปสรรคว่าจะวางแผนหาแนวทางแก้ไขได้อย่างไรบ้าง 

     คุณเคยได้ยินไหมว่า "รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง" หากคุณจะประกอบธุรกิจ คุณยังไม่รู้ จุดแข็ง จุดอ่อน ไม่มองหาโอกาส ไม่ศึกษาอุปสรรค โอกาสที่ธุรกิจจะประสบความสำเร็จมันก็เป็นไปได้ยาก 

     เช่นเดียวกันกับตัวเรา หากเรายังไม่เคยได้ทำความรู้จักตัวเราเอง ยังมองไม่เห็นข้อดี ข้อเสีย แล้วเราจะปรับปรุง พัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นได้อย่างไร ผู้เขียนไม่ใช่คนเก่ง ไม่ใช่คนมีความรู้มากมาย และ ณ ขณะนี้ยังไม่ใช่บุคคลที่ประสบความสำเร็จในชีวิต แค่อยากแบ่งปันแนวความคิดที่รู้สึกว่าน่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านเท่านั้นเอง 🌝


"ความรู้ในตำรา เราสามารถนำมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับตัวเราได้ 
และมันจะมีคุณค่ามากขึ้นไปอีกหากเรานำประสบการณ์จากการเรียนรู้มาแบ่งปัน"


Pung′Noey :)

Tuesday, 27 November 2018

5 วิธีคิด เมื่อชีวิตถูกบอกเลิก!!


     เมื่อพูดถึงเรื่องของหัวใจ ใคร ๆ ก็อยากจะมีความรัก อยากเป็นที่รักของใครสักคน ไม่ได้คิดล่วงหน้า ไม่ได้เตรียมตัวไว้ว่าวันนึงชีวิตรักต้องเลิกรา ห่างหายกันไป เมื่อความรักไม่ได้เป็นไปตามที่วาดฝันไว้ แน่นอนว่าความทุกข์ ระทม ความเสียใจต้องมาเยือนโดยมิได้นัดหมาย แล้วควรทำอย่างไรถ้าต้องเจอเหตุการณ์เช่นนี้


    
Photo By : Pung'Noey



 ต่อไปนี้ คือ 5 วิธีคิด เมื่อชีวิตถูกบอกเลิก


1. ถ้าคุณอยากร้องไห้ จงร้องมันออกมาจนสาแก่ใจ
     
     คุณจะร้องไห้ จะบ้าบอคอแตกยังไง จะแสดงออกถึงความเสียใจมากมายขนาดไหนก็ทำมันให้เต็มที่ เพียงแต่อย่าไปฟูมฟายจะเป็นจะตายต่อหน้าคนที่คุณไม่คุ้นเคยก็พอ ที่สำคัญอย่าไปใส่อารมณ์กับคนที่ทิ้งคุณไป มันไม่มีประโยชน์อะไร ต่อให้เขาทำคุณเจ็บปวดมากมายขนาดไหนจงโปรดจำเอาไว้ว่าเขาเป็นแค่อดีต ถ้าคุณเสียใจก็แค่ร้องไห้ออกมา ร้องออกมาให้สุด แล้วหยุดที่คำว่า "พอ" จากนั้นก็รวบรวมเอาสติที่คุณมีเดินหน้าต่อไป

2. ตั้งสติให้ดี แล้วคิดใหม่อีกทีว่าเสียใจเพราะอะไร

     คุณเสียใจเพราะว่าเขาไม่รักคุณ หรือ เพราะว่าคุณไม่รักตัวเอง หรือ เพราะโกรธแค้นที่เขาทิ้งคุณไป หรือ เพราะว่าเขานอกใจหลอกลวงคุณ หรือ เพราะว่าเจ็บปวดจากการอับอายชาวบ้าน ไม่ว่าเหตุผลของการเสียใจจะคืออะไร สิ่งที่คุณควรทำคือการยอมรับความจริง บอกกับตัวเองไว้ "เสียใจให้ตายเขาก็ไม่กลับมา"

3. การเลิกกันมันไม่ได้หมายความว่าคุณทำอะไรผิด

     หากตลอดเวลาที่คบกันคุณทำหน้าที่แฟนอย่างเต็มที่ ตราบที่คุณไม่ได้นอกใจ ไม่ได้คบชู้ ให้เกียรติในคู่ของคุณ ก็จงปล่อยวางความเสียใจนั้นซะ จงบอกกับตัวเองว่าใคร ๆ ก็เคยเลิกกับแฟนกันทั้งนั้น เพียงแค่วันนี้คุณและเขาเข้ากันไม่ได้ จะโทษตัวเองต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ แถมเป็นการลดคุณค่าของตัวคุณเองด้วยซ้ำ การสร้างความเจ็บช้ำให้กับตัวเองมันไม่ได้ส่งผลให้มีอะไรดีขึ้นมา "การตามหาคนทำผิดมันไม่ใช่ทางออกของปัญหา"

4. โลกยังไม่พัง เดินลำพังก็ยังไหว

     "คุณแค่เลิกกับแฟน โลกมันยังไม่ได้แตกสลาย ไม่มีความจำเป็นที่ต้องมาดิ้นทุรนทุราย อย่าลืมว่า ผู้หญิง / ผู้ชาย ไม่ได้มีคนเดียวบนโลก" จงให้กำลังใจตัวเองบ้าง ถ้าให้กำลังใจตัวเองไม่ไหวก็ลองหลอกตัวเองบ้างก็ได้ การใช้ชีวิตคนเดียวมันไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น การเจอคนรักที่ไม่ดีเจอความรักที่ไม่ดีมันน่ากลัวกว่าเยอะ คนที่ไม่มีแฟนมีเป็นร้อยล้านคนบนโลกใบนี้ เขายังใช้ชีวิตอยู่กันได้เลย โลกใบนี้ไม่ได้มีแค่คุณคนเดียวที่โสด

5. คุณได้อะไรจากความรักครั้งนี้

     คุณเคยได้ยินไหมว่า "ทุกคนจะเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นเมื่อได้มีความรักและเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นอีกหลังจากอกหัก" อยากให้คุณลองทบทวนในความสัมพันธ์ที่ผ่าน ๆ มาว่าเรามีข้อดี ข้อเสีย ในเรื่องใด มีอะไรบ้างที่ควรรักษาไว้ อะไรบ้างที่ควรปรับปรุงต่อไป เพราะความรักมันเปรียบเหมือนบทเรียนหนึ่งของชีวิต "ความรักที่มีคุณค่า คือ ความรักที่เรานำมาพัฒนาตัวเอง"


     ไม่ว่าวันนี้คุณจะเป็นคนโสดที่ปราศจากการโหยหาความรัก หรือ เป็นคนที่มีความรักจนล้นเต็มอก หรือ เป็นคนที่ทุกข์ทนกับการอกหักจนไม่อยากหายใจ ไม่ว่าคุณจะอยู่ในสถานะใด ขอให้สติจงบังเกิดแก่คุณ "เพราะสติจะนำไปสู่ซึ่งความสุข" ใครจะเลิกรักเราไม่เป็นไร ขอแค่เราอย่าเลิกรักตัวเองก็พอ ...  


Pung′Noey :)

Monday, 26 November 2018

[แชร์ประสบการณ์] เหตุผลในการตัดสินใจเขียนใบลาออกด้วยคำว่า "หมด Passion ในการทำงาน"


          เหตุผลที่จะทำให้มนุษย์เงินเดือนต้องตัดสินใจลาออกจากงานประจำที่ทำอยู่นั้นมีมากมายหลากหลายข้อ เช่น ความเครียด ความเหนื่อย ความกดดัน ความไม่มั่นคง ความขัดแย้ง 
การขาดแรงจูงใจในการทำงาน การขาดความชัดเจนในการปฏิบัติงาน การไม่เป็นที่ยอมรับ การไม่ก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่ การทำงานผิดพลาดเสียหาย หรือ ไม่รักในงานที่ทำอยู่ ฯลฯ



✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨
     
แล้วเหตุผลอะไรล่ะที่ทำให้เรา "หมด Passion ในการทำงาน" ... แล้วคำว่า Passion มันมีความหมายว่าอะไร?

หากไปเปิดดิกชั่นนารี คำว่า "Passion" จะแปลว่า ความหลงใหล ความหลุ่มหลง ความชอบ ความโกรธ กิเลส ตัณหา

Passion เป็นคำภาษาอังกฤษโดยมีรากศัพท์มาจากภาษาละติน Pati 

ซึ่งมีความหมายว่า Pain แปลว่า ความทุกข์ ความเจ็บปวด 

ดังนั้นคำว่า Passion จึงแปลได้หลายอย่างขึ้นอยู่กับบริบทที่นำไปใช้ 

เป็นคำที่สื่อถึงความกระตือรือร้นจากความชอบความหลงใหล หรือ 

ความเจ็บปวดความเกลียด จนกลายเป็นแรงผลักดันจากภายในให้เรากระทำบางสิ่งบางอย่าง

✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨


ขอบคุณรูปภาพจาก https://pixabay.com



     เมื่อชีวิตการทำงานเดินมาถึงจุดนึง จุดที่เราไม่ได้รู้สึกยินดี ยินร้าย จุดที่ไร้ซึ่งความรู้สึกต่องานที่ทำ ต่อองค์กรที่อยู่ จึงเป็นสาเหตุให้เรากลับมาพิจารณาตัวเองว่าเราเหมาะสมกับองค์กรหรือไม่ หากงานที่ทำออกมาไม่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งสภาพจิตใจไร้ซึ่งความปรารถนาใด ๆ เราควรลาออกเพื่อไม่เป็นภาระขององค์กรและเพื่อนร่วมงาน 

     โดยเหตุผล 2 ข้อ ที่ทำให้เรา "หมด Passion ในการทำงาน" คือ


1. ทัศนคติ (Attitude) ไม่สอดคล้องกับนโยบายองค์กร : ในทางจิตวิทยา ทัศนคติ คือการแสดงออกถึงความชอบ ความไม่ชอบ ต่อบุคคล สิ่งของ สถานที่ หรือ เหตุการณ์ สิ่งใดสิ่งหนึ่ง ทัศนคติสร้างขึ้นจากประสบการณ์ทั้งในอดีตและปัจจุบัน สามารถเปลี่ยนแปลงได้ สามารถแสดงออกทางอารมณ์และพฤติกรรม 

     หากเรามีทัศนคติที่ไม่สอดคล้องต่อนโยบายขององค์กร หรือ เราไม่สามารถที่จะปรับเปลี่ยนทัศนคติ เพื่อที่จะอยู่ร่วมกับองค์กรได้ มันจะกลายเป็นความอึดอัด กดดัน ปราศจากความสุขและไร้ซึ่งแรงผลักดันที่จะพาตัวเองตื่นในแต่ละวันไปปฏิบัติงาน


2. ตรรกะ (Logic) ไม่ตรงกับระบบการทำงาน : ตรรกะ คือ ความคิดแบบเป็นระบบ เป็นเหตุ เป็นผล ซึ่งแต่ละคนมีความคิดที่ไม่เหมือนกัน มีเหตุและผลในการคิดการตัดสินใจที่แตกต่างกันออกไป

     การที่เรามีตรรกะไม่ตรงกับระบบการทำงาน ย่อมก่อให้เกิดปัญหาความขัดแย้งตามมาได้ นี่จึงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เรารู้สึกไม่มีความกระตือรือร้นในการทำงาน ไม่อยากฝืนทำในสิ่งที่เราเห็นว่าไม่สมเหตุสมผล ไม่อยากดันทุรังจนกลายเป็นการสร้างความเดือดร้อนให้กับองค์กรและเพื่อนร่วมงาน



   2 เหตุผลที่กล่าวมาข้างต้น มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับตัวเรา เกี่ยวกับระบบความคิดของเราทั้งสิ้น เราเชื่อว่าความคิดส่งผลต่อความรู้สึกและการตัดสินใจ การเปลี่ยนแปลงในวันนี้อาจนำไปสู่จุดเริ่มต้นที่เหมาะสมกับตัวเราในวันข้างหน้า เราแค่ "หมด Passion  ในการทำงาน" แต่เรายังไม่หมดไฟที่จะก้าวต่อไป

   เราเชื่ออีกอย่างหนึ่งว่าการทำงานกับองค์กรใดองค์กรหนึ่ง หน้าที่ใดหน้าที่หนึ่ง ก็เหมือนกับการที่เรามีแฟน ที่จะต้องเรียนรู้ ปรับตัว ทำความเข้าใจ ทำความรู้จักกันไปเรื่อย ๆ พอมาถึงจุดนึงที่มันไปต่อไม่ได้แล้ว เราก็แค่เลิกกันไป แล้วก็ไปเริ่มต้นเรียนรู้ใหม่ก็แค่นั้นเอง ... ❤




     "จะไม่โทษคนอื่นที่ทำไม่ถูกใจเรา แต่จะพาตัวเราไปทำในสิ่งที่เราพอใจ"


Pung′Noey :)











Friday, 23 November 2018

ความจริงมันไม่ได้หายไปไหน ...



ความจริงมันไม่ได้หายไปไหน ... I am here with you.
Photo By : Pung'Noey



เหมือนยามกลางวันที่เราก็รู้ว่ายังมีดวงจันทร์ลอยอยู่


เพียงแค่แสงของดวงอาทิตย์มาบดบังความมืดมิด


จนมองไม่เห็นแสงของดวงจันทร์


เช่นเดียวกันกับความจริง


แม้วันนี้


ความจริงจะยังไม่ถูกเปิดเผย


แต่ความจริงมันก็ไม่เคยจากหายไปไหน


อย่างน้อย ณ วันนี้ เราก็รู้ความจริงอยู่แก่ใจ


เพียงแค่รอเวลาให้ความจริงปรากฏขึ้นมาเท่านั้นเอง







     ⭐ แรงบันดาลใจจากเพลง "ดวงจันทร์กลางวัน (Aftermoon)" 🌜

     🌝 บทความนี้ขอเป็นกำลังใจให้กับ ... ทุกคน 🌝

     🌞 Pung′Noey :)🌞






     

Tuesday, 20 November 2018

[แชร์ประสบการณ์] 4 เทคนิคขั้นพื้นฐานบริหารเงินเดือน (ฉบับมนุษย์เงินเดือนรายได้น้อย)



ขอบคุณรูปภาพจาก https://pixabay.com


          บทความนี้ 
ขออนุญาตแบ่งปันประสบการณ์ส่วนตัวสำหรับการบริหารเงินเดือนในแบบฉบับมนุษย์เงินเดือนที่มีรายได้น้อย ไม่มีรายได้เสริม และ "ไม่ได้เน้นทำแล้วต้องรวย"



สำหรับ 4 เทคนิคขั้นพื้นฐานในการบริหารเงินเดือน ประกอบด้วย



1. รู้จักประเมินตนเองก่อน  นี่คือวิธีแรกที่เราควรสำรวจตัวเองก่อนว่า ณ วันนี้เรามีรายได้เท่าไร มีรายจ่ายเท่าไร จะสามารถเหลือเก็บได้เท่าไร เพราะแต่ละคนมี Fixed Cost ที่ไม่เท่ากัน ภาระทางการเงินที่แต่ละคนต้องรับผิดชอบย่อมแตกต่างกันไป เช่น ค่าผ่อนบ้าน ค่าผ่อนรถ ค่าผ่อนบัตรเครดิต ค่าเดินทาง ค่าท่องเที่ยว ค่าใช้จ่ายดูแลลูก ค่าใช้จ่ายส่วนตัว ซึ่งบางรายจ่ายมันเป็นค่าใช้จ่ายที่ค้ำคอ ไม่จ่ายก็ไม่ได้ พยายามประหยัดขนาดไหนก็ต้องจ่ายอยู่ดี ดังนั้น ...

     การประเมินตนเองที่ดีและได้ผลลัพธ์มากที่สุด คือ ประเมิน ประมาณการ และ วางแผน ก่อนการใช้จ่าย หรือ ก่อนการสร้างหนี้ บางครั้งความอยากได้ อยากมี คือสิ่งที่เราต้องต่อสู้ภายในจิตใจ หากเราเอาชนะใจตัวเองได้ มันจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการบริหารชีวิต ซึ่งสมการในการประเมิน คือ

รายได้ - หนี้สิน = ความมั่นคงทางการเงิน


     สมการนี้เป็นสิ่งที่จะสะท้อนว่าความมั่นคงทางการเงินของเราอยู่ในภาวะเสี่ยงหรือไม่ เราควรวางแผนทางการเงินให้สอดคล้องและเหมาะสมกับสถานะเงินเดือน สภาวะเศรษฐกิจ ในปัจจุบัน





2. เก็บออมก่อนใช้จ่าย  สำหรับคนมือรั่ว มีเงินเท่าไรก็ใช้หมด นี่คือวิธีหักดิบและถือเป็นการสร้างวินัยที่ได้ผลดีอีกวิธีหนึ่ง ควรเขียนสมการเงินออมไว้ดังนี้ 



รายได้ - เงินออม = ค่าใช้จ่าย


ซึ่งวิธีออมเงินขั้นพื้นฐาน ที่ทุกคนสามารถทำได้นั่นคือ

  • อมเงินโดยเปิดบัญชี เงินฝากประจำ (Fixed Deposit Account) เป็นบัญชีที่เหมาะกับการออมแบบมีระยะเวลาที่แน่นอน เช่น 3 เดือน , 6 เดือน , 24 เดือน เป็นต้น การฝากเงินแต่ละครั้งธนาคารจะกำหนดจำนวนขั้นต่ำไว้ เช่น 1,000 - 10,000 บาท ต่อเดือน มีหลายธนาคารให้คุณได้เลือกฝากประจำแบบปลอดภาษีและใหัอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่สูง ...

  • ออมเงินโดยการซื้อ สลากออมสิน หรือ สลากออมทรัพย์ ธ.ก.ส. เป็นการฝากเงินประเภทหนึ่งคล้าย ๆ กับการฝากประจำ แถมมีโอกาสได้ลุ้นเงินรางวัลในการถูกสลากอีกด้วย การซื้อสลากเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเปลี่ยนเงินให้เป็นสินทรัพย์ นั่นหมายความว่า หากเราไม่อยากถือเงินสดเพื่อลดโอกาสในการใช้จ่าย เราจึงเปลี่ยนรูปเงินสดในมือให้เป็นสินทรัพย์ที่ยังมีมูลค่าเท่าเดิม หากครบกำหนดระยะเวลาในการถือครองเราก็จะได้รับดอกเบี้ยในอัตราที่ธนาคารกำหนด  แม้ดอกเบี้ยสลากจะไม่สูงจนดูไม่น่าลงทุน ก็ยังถือว่าเป็นทางเลือกที่ดีในการรู้จักอดทน อดกลั้น รอคอยเวลาในการออมเงิน ... 

  • ออมเงินโดยการ หยอดเงินใส่กระปุกออมสินอย่างน้อยวันละ 20 บาท เป็นการออมเงินระดับเด็กอนุบาลแต่ช่วยให้เรามีชีวิตรอดตอนสิ้นเดือนได้เป็นอย่างดี การออมเงินวิธีนี้สืบเนื่องมาจากพฤติกรรมที่ว่า "เงินเดือนน้อยนิด ชีวิตติดหรู" คือ ช่วงสัปดาห์แรกที่เงินเดือนออก หลังจากหักเก็บเงินออม และเห็นจำนวนเงินเหลือใช้จ่ายแล้ว เราจะฟุ่มเฟือย ฟุ้งเฟ้อ จนลืมนึกถึงชีวิตสิ้นเดือน ดังนั้นการหยอดเงินใส่กระปุกอย่างน้อยวันละ 20 - 30 บาท ใช้เวลาเก็บประมาณ 20 วัน มันทำให้เรามีเงินใช้ประมาณ 400-600 บาท เราสามารถนำมาใช้จ่ายช่วงสัปดาห์สุดท้ายก่อนเงินออกได้ ถือเป็นการต่อลมหายใจสำหรับชาวมนุษย์เงินเดือน

3. หนี้สินมีต้องรีบใช้ นี่เป็นอีกข้อนึงที่สำคัญในการบริหารเงิน หากเป็นไปได้เราไม่ควรมีหนี้สินที่ต้องชำระต่อเดือนเกิน 40% ของเงินเดือน เช่น เงินเดือน 10,000 บาท ควรมีหนี้ได้ไม่เกิน 4,000 บาท ส่วนที่เหลืออีก 6,000 บาท ควรจะแบ่งไปเป็นเงินเก็บ และ ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เราสามารถสร้างหนี้ได้โดยที่เราไม่เดือดร้อน หากเรามีความพร้อมและความรับผิดชอบในการชำระหนี้ การชำระหนี้ให้ตรงต่อเวลานอกจากจะไม่เสียดอกเบี้ยเงินปรับแล้ว ยังถือเป็นการสร้างเครดิตที่ดีให้กับตัวเราเอง

4. ทำใจให้มีสุข รู้หรือไม่? การกล่าวขอบคุณตัวเราเองในทุก ๆ เรื่องที่เราทำได้ในแต่ละวัน มันเป็นการเติมความสุขและเติมกำลังใจให้เราเป็นอย่างดี ร่างกายเราเหนื่อยล้าจากการทำงาน สมองเราเหนื่อยล้าจากการวิเคราะห์ แก้ไข วางแผน ดังนั้น เราไม่ควรเหนื่อยใจให้กับอะไรทั้งสิ้น จิตใจที่เข้มแข็งจะส่งผลต่อสมองและพละกำลัง ไม่ต้องรอเก็บเงินให้ได้หลักล้านแล้วค่อยภูมิใจ ไม่ต้องรอให้หมดหนี้แล้วค่อยพอใจ แต่เราจงภูมิใจและพอใจในทุก ๆ วันที่ลงมือทำ ... "เงินเดือนน้อยค่อย ๆ เก็บ ... ความสุขน้อยค่อย ๆ เติม"




รู้จักประเมินตนเองก่อน

เก็บออมก่อนใช้จ่าย

หนี้สินมีต้องรีบใช้

ทำใจให้มีสุข


Pung′Noey :)


⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐