Monday, 28 September 2020

ความรักครั้งนี้สอนอะไรเราบ้าง? (How do you learn to this love?)

 


Photo by : Pung'Noey


เคยได้ยินประโยคที่หลายคนเคยบอกว่า เลิกกันทั้งที่ยังรักกันอยู่

ซึ่งตอนนั้นไม่เข้าใจว่าถ้ายังรักกันอยู่มันจะไปเลิกกันทำไม

คิดว่ามันต้องมีใครสักคนที่หมดรักสิมันถึงได้เลิกกันได้

พอมาถึงวันนี้ วันที่ได้เรียนรู้ ได้พบเจอด้วยตัวเอง

จึงเข้าใจแล้วว่า เลิกกันทั้งที่ยังรักมาก

มันเป็นเช่นไร

 

ถ้าหากมองในมุมของการเป็นแฟน เป็นคู่รัก

แค่เธอกับฉันเรารักกันมันก็น่าจะพอแล้ว

แต่หากมองในมุมของ คู่ชีวิต

คำว่า รักอย่างเดียว

มันไม่พอ


Photo by : Pung'Noey

 

คู่ชีวิตมันใช้องค์ประกอบหลายอย่างในการเดินคู่ไปด้วยกัน

เรามีความรักเป็นที่ตั้ง แต่มันก็ต้องมีความเข้าใจ ความอดทน

ความพร้อม ความหวัง ความคิด ความดี มาประกอบ

แต่สิ่งที่สำคัญไม่แพ้ ความรักนั่นคือ

ทัศนคติ


ทัศนคติ

ต่อการดำรงชีวิตคู่มันเป็นสิ่งที่สำคัญมาก

ถ้าคนสองคนมีมุมมองการใช้ชีวิตที่ไม่เหมือนกัน

มีจุดหมายปลายทางที่แตกต่างกันมันยากที่จะประคองกันไปได้

เขาไม่ผิดที่มีทัศนคติที่ไม่เหมือนกับเรา และ

เราก็ไม่ผิดที่มีทัศนคติที่ไม่เหมือนกับเขา

ไม่มีใครผิดเลย

 

Photo by : Pung'Noey



มันคงไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีนักที่ต้องเลิกในขณะที่ยังรักเต็มหัวใจ

และไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเราจะไม่เสียใจต่อเหตุการณ์เช่นนี้

แต่บนความเศร้ามันมีความเข้าใจอยู่มาก ๆ

เข้าใจในเหตุและผลที่เกิดขึ้น

ไม่ฟูมฟาย ไม่ร่ำร้อง

เศร้าแต่สงบ

 

ดังนั้นถ้าเรารักใครสักคน

เราก็หวังอยากให้เขาได้มีชีวิตที่ดีมีความสุขในแบบที่เขาเลือก

และเช่นกันหากเขาคนนั้นรักเรา

เขาก็คงปรารถนาให้เรามีความสุขในเส้นทางที่เราเลือกเช่นนั้นด้วย

ดังนั้นคำว่า เลิกกันทั้งที่ยังรัก

มันคือความรักที่เห็นอกเห็นใจเข้าใจในความต้องการของกันและกัน

พร้อมที่จะซัพพอร์ทกันในสถานะอื่นได้

ในเมื่อวันนี้ถ้ารักกันในแบบแฟน คู่รัก คู่ชีวิต แล้วมันไม่รุ่ง

ก็ลองหันมารักกันในแบบอื่นอาจจะดีกว่า

แม้สถานะจะเปลี่ยนแต่ความรักจะยังคงอยู่ตลอดไป 😊

 

 

Photo by : Pung'Noey



จงคืนความเป็นอิสระให้แก่กัน

เพราะชีวิตก็เหมือนแจกัน วางผิดที่ก็ไม่สวย

เอาแจกันไปวางกลางทุ่ง มีดอกไม้เหมือนกัน แต่มันก็ไม่เข้ากัน

💙💙💙💙💙


Pung'Noey :)


Thursday, 25 June 2020

3 ประโยคบอกเลิก ที่ทำให้เลิก (คิด) ไม่ได้

Photo By : Pung'Noey

            หลายคนคงเคยได้ยิน หรือ พบเจอเหตุการณ์ การถูกบอกเลิกมาบ้างแล้ว ไม่ว่าความสัมพันธ์จะจบลงเช่นไร ความเสียใจ ความสงสัย มันอาจไม่ได้จบตาม ฉะนั้นวันนี้ขอยกตัวอย่างประโยคบอกเลิก ที่ทำให้เลิกคิดมากไม่ได้ ดังนี้ค่ะ


    1. เราเลิกกันเถอะนะ เพราะฉันอยากอยู่คนเดียว

โอ้วววว มาย ก๊อดดดด!! ประโยคบอกเลิกสุดคลาสสิคที่หลาย ๆ คน คงเคยได้ยิน มันทำให้อดคิดไม่ได้ว่า อยากอยู่คนเดียวจริง ๆ หรือ ไม่อยากให้เราอยู่ในชีวิตเชาด้วย หรือที่ร้ายไปกว่านั้น เขาอยากอยู่กับคนอื่นมากกว่าหรือเปล่า ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย คิดมาคิดไปก็สะเทือนใจตัวเองเปล่า ๆ


    2. เราเลิกกันเถอะนะ เพราะฉันหมดความอดทนกับเธอแล้ว

โอ้ววว โหววว ดาร์ลิ่งงง!! ประโยคบอกเลิกสุดจี๊ดแบบตัดเยื่อใย ถึงขนาดคนโดนบอกเลิกหน้าชา แขน ขา ไร้เรี่ยวแรง สติแตก อารมณ์ระเบิด คิดเตลิดไปว่า แล้วที่ผ่านมามันเรียกว่าอะไรห่ะ?ที่คบกันมา 5 ปี 10 ปี มันมีแต่ความอดทนหรือไง ไม่หลงเหลือความรัก หรือไม่เคยรักกันเลยสินะ คิดย้ำ คิดวน สับสนกับสิ่งที่ผ่านมา จนบางทีก็คิดไปว่า สิ่งดี ๆ ที่ทำร่วมกันมามันคือความรักหรือแค่ความอดทนกันแน่


    3. เราเลิกกันเถอะนะ เพราะฉันไม่รักเธอแล้ว

โอ้ววว เล็ท คิล มี พลีสสสส!! (Let Kill Me Please!) ประโยคบอกเลิกที่เหมือนธนูไฟ ถูกยิงตรงเข้ามาที่หัวใจ มันพร้อมที่จะทำให้ร่างกายและจิตใจของคนโดนบอกเลิกถูกเผาสลายลงไปในพริบตา จนทำให้คิดว่า นี่ฉันไม่ดีหรือเปล่า ฉันไม่น่ารักหรือเปล่า (ยืมประโยคของน้องสายฟ้า ลูกแม่ชมมาหน่อยนะคะ) คิดจนสมองจะระเบิดว่า เพราะอะไร ยังไง ทำไม เธอถึงไม่รักกัน  มันช่างเป็นประโยคบอกเลิกที่ไม่ต้องอ้อมค้อมกันเลยทีเดียว


    สุดท้ายนี้ ไม่ว่าคุณจะโดนประโยคบอกเลิกแบบไหน หรือ โดนบอกเลิกด้วยวิธีใด ผลลัพธ์ของความสัมพันธ์ ก็คือ การจากลาอยู่ดี บางทีความสัมพันธ์มันก็เกิดขึ้นแบบไม่มีเหตุผล และก็จบลงแบบไม่มีเหตุผลเช่นกัน

   การคิดวนเวียน โทษตัวเอง หรือแม้แต่ โทษกันไปมา ไม่อาจช่วยให้ชีวิตเดินต่อไปได้ แต่การยอมรับความจริง อยู่กับปัจจุบัน นำบทเรียนและขัอผิดพลาดในอดีตมาปรับปรุงแก้ไข ย่อมคือสิ่งที่ดีต่อตัวเรามากกว่า

    ทุก ๆ การจากลา คือ การพบเจอสิ่งใหม่ ถ้าไม่จากก็ไม่เจอ ถ้าไม่อยากเจอก็อยู่แบบจมอดีตต่อไป และ เรื่องจริงของการเลิกรา คือ การไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว ... คนไม่รัก คนจะไป ห้ามกันไม่ได้หรอกนะคะ


ขอเป็นกำลังใจให้นะคะ

Pung'Noey :)


แรงบันดาลใจสำหรับการเขียนบทความนี้จาก >>> เพลง ยิ่งใกล้ยิ่งไม่รู้จัก - ว่าน ธนกฤต 💔


Tuesday, 5 May 2020

เรื่องเล่าจากเฟรนด์ชิพ (Friendship Stories)


      ในขณะที่ฉันกำลังงุ่นง่านกับการค้นหาเอกสารในตู้เก็บของใบเก่า มันเป็นตู้ไม้ที่อยู่กับครอบครัวของเรามาเกิน 10 ปีแล้ว นอกจากจะใช้เป็นตู้เก็บเอกสาร เก็บของใช้ต่าง ๆ แล้ว มันยังเป็นตู้ที่เก็บความทรงจำของฉันเอาไว้ด้วย


       หนึ่งในความทรงจำของฉัน ถูกรื้อค้นขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อยามที่สายตาไปสะดุดกับสมุด Friendship สมุดสุดฮิตที่ต้องมีในวัยมัธยม ฉันละจากการค้นหาเอกสารโดยพลัน แล้วหยิบสมุดเล่มนั้นมานั่งเปิดอ่านในห้องนั่งเล่น สภาพสมุดยังดูสมบูรณ์  ซึ่งก็มีเพียงสีปกที่ดูซีดจางลงไปบ้างตามกาลเวลา


Photo By : Pung'Noey


        เมื่อเปิดหน้าแรกของ Friendship ก็จะได้พบกับประวัติชีวิตส่วนตัวของฉัน ซึ่งในตอนนั้นก็คิดว่าข้อมูลที่เขียนนั้นดีมากแล้ว อีกทั้งลายมือที่เขียนก็ดูไม่ค่อยบรรจงสวยงามสักเท่าไร ถ้าให้บรรยายคงต้องใช้คำว่า เขียนแบบภาษาวัยรุ่นในยุคนั้น

     เมื่อเปิดหน้าถัดไปจะได้พบกับรูปถ่ายจากกล้องฟิล์ม ที่อัดล้างออกมาติดในสมุดเป็นรูปถ่ายหมู่คณะที่ประกอบไปด้วยอาจารย์ประจำชั้นพร้อมทั้งเพื่อน ๆ อีกหลายสิบคน ซึ่งในสมุดเล่มนี้นั้นเขียนระบุไว้ว่าเป็นภาพถ่าย เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2549 จากวันนั้นจนถึงวันนี้วันที่ฉันกำลังเขียนบทความเรื่องนี้อยู่ มันผ่านมาแล้วเป็นเวลากว่า 14 ปี ซึ่งฉันในตอนนั้นกับฉันในตอนนี้ หน้าตาไม่ได้ดูเปลี่ยนไปสักเท่าไร แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปอย่างมากมาย คือ น้ำหนักตัวที่มากขึ้นตามอายุ

         ฉันนั่งไล่เรียงดูหน้าเพื่อน ๆ แต่ละคนด้วยความคิดถึง และบุคคลที่ฉันยังคงระลึกนึกถึงอยู่เสมอ คือ อาจารย์ประจำชั้น นามของท่านคือ อาจารย์ วนิดา ท่านเป็นอาจารย์ที่น่ารัก ใจดีกับฉันมาตลอด คอยประสิทธิ์ประสาทวิชา  คอยผลักดันฉันอยู่เรื่อยมา ในวันนี้ฉันหวังว่าอาจารย์จะยังคงมีสุขภาพที่ดี และมีความสุขสมบูรณ์

        เมื่อไล่เปิดสมุดดูถัดไปเรื่อย ๆ จะได้พบกับรูปถ่ายจากกล้องฟิล์มอีกเช่นเคย เป็นรูปถ่ายที่มีจำนวนไม่มากเพราะค่าอัด ค่าล้างในสมัยนั้นก็หลายสิบบาทอยู่ รูปเหล่านั้นเป็นรูปถ่ายกับกลุ่มเพื่อนสนิทที่ฉันรักมากที่สุดอีกส่วนหนึ่งของชีวิต เป็นรูปถ่ายตอนที่ฉันได้ไปทัศนศึกษาที่ต่างจังหวัด มันทำให้ฉันนึกขึ้นได้ว่าเมื่อก่อนฉันมีความสุขมากแค่ไหน นั่งดูไป ยิ้มไป เพลินตาดี

        และอีกสิ่งหนึ่งในสมัยวัยมัธยมที่นิยมทำกัน คือ การแลกรูปกันเพื่อนำมาติดในสมุด Friendship พร้อมเขียนชื่อ – นามสกุล ของเพื่อน ๆ แต่ละคนไว้อย่างดี มาคิดดูอีกทีก็ดีเหมือนกัน จะได้ไม่ลืมชื่อ ลืมหน้ากันไป

       ส่วนต่อไปที่สำคัญไม่แพ้กันของสมุด Friendship เล่มนี้ คือ การบรรยายความในใจของเพื่อน ๆ ที่มีต่อฉัน บางคนเขียนสั้นบ้าง บางคนเขียนยาวบ้าง แตกต่างกันไปตามความสนิท บางคนก็เลือกเขียนหน้าตามสีของสมุดที่ชอบ ซึ่งก็จะทำให้หน้าสมุดเว้นวรรคขาดตอนเป็นเรื่องธรรมดา
Photo By : Pung'Noey

       แต่เนื้อหาในสมุดที่มันสะดุดความรู้สึกของฉัน คือ การเขียนบรรยายความรู้สึกของเพื่อนสนิท ที่ตอนนั้นเราไม่ได้สนิทกันแล้ว นี่คือ อีกหนึ่งความทรงจำที่เจ็บปวดของชีวิต เพราะ ฉันคือคนที่ถอยออกห่างความสัมพันธ์ คำว่า
เพื่อนสนิท ฉันจำได้ดีว่ามีเหตุผลอะไรที่ทำให้ฉันต้องตัดสินใจแบบนั้น แต่ฉันไม่เคยเอื้อนเอ่ยบอกเหตุผลที่แท้จริงกับเพื่อน ๆ เลยสักนิด

       ฉันมีเพื่อนสนิทอยู่ 3 คน เราเรียนด้วยกันมาตั้งแต่อนุบาล 1  เมื่อเทอมที่สองของชั้น ม.3 มันมีเหตุการณ์จากความประพฤติที่ไม่ดีของฉัน ฉันกลัวว่าจะทำให้เพื่อน ๆ ต้องเดือดร้อน หรือ อึดอัดใจในการที่มีฉันอยู่ในกลุ่ม ฉันจึงตัดสินใจเดินออกจากความสัมพันธ์อันดี และใช้ชีวิตตัวคนเดียวในเทอมสุดท้ายของภาคเรียนนั้น ฉันเสียใจที่สุดและฉันยังจำได้ดีว่าฉันมีเพื่อนสนิทที่ฉันรักและเธอทุกคนก็น่ารักกับฉันมาก

       ฉันกล้าที่จะพาตัวเองออกจากกลุ่ม แต่ฉันไม่กล้าที่จะบอกถึงเหตุผลจริง ๆ ว่าทำไมฉันถึงทำอย่างนั้น และความขี้ขลาดยังรวมไปถึงการที่ฉันไม่กล้าที่จะเอ่ย คำว่า ขอโทษฉันภาวนาว่าสักวันเธอเหล่านั้นคงได้รับรู้จากการเปิดอ่านบทความนี้

      14 ปีผ่านมาแล้ว มันคงไม่สามารถทำให้เรากลับมาสนิทกันได้อีกครั้ง ซึ่งก็ถือว่าเป็นบทเรียนสำคัญของชีวิต มันเป็นทั้งความทรงจำที่ดีและเจ็บปวด ฉันคิดว่าชีวิตก็เหมือนละครที่ย่อมมีตอนอวสาร มันอาจไม่สมบูรณ์แบบ มันอาจไม่ Happy Ending แต่ฉันยังคงยิ้มได้ทุกครั้งที่นึกถึง มันยังคงมีความทรงจำอื่น ๆ จากเพื่อน ๆ อีกหลายคน มีเหตุการณ์ที่น่ารัก ทรหด กลั่นแกล้งกันบ้างตามประสาเด็กน้อย ทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนมีคุณค่าในชีวิตทั้งสิ้น


ขอบคุณสมุด Friendship ที่ทำให้เรายังจำ Friend และความ Ship หายของตัวเองได้ทุกตอน

ภาพสีจาง ความทรงจำเลือนลาง แต่ ความรู้สึกยังชัดเจน .... Friendship

Pung'Noey :)






Wednesday, 29 April 2020

จากสว่างสุดสู่จุดที่มืดบอด ... From the brightest to the darkest.



Photo By : Pung'Noey

ใครเล่าจะรู้ว่าจากที่เคยใช้ชีวิตแบบเป็นปกติสุขในทุก ๆ วัน
เมื่อวันนึงลืมตาขึ้นมาแล้วพบว่าบางอย่างในชีวิตมันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

จากเมื่อวานที่ได้ยิ้มหวาน วันนี้ได้กลายเป็นอมทุกข์
จากเมื่อวานที่อ้าปากหัวเราะ วันนี้ได้กลายเป็นแหกปากร้องไห้
จากเมื่อวานที่มีคนอยู่ข้างเคียงกาย วันนี้ได้กลายเป็นคนที่ไร้ผู้ใดและโดดเดี่ยว
จากเมื่อวานได้จับเงินล้านเงินก้อน วันนี้ได้กลายเป็นคนมีหนี้ร้อนไร้ทุนทรัพย์
จากเมื่อวานมีบ้านมีห้องให้นอนหลับ วันนี้ได้กลายเป็นนอนไม่หลับเพราะไร้ที่อาศัย
จากเมื่อวานวิ่งเตะบอลออกว่ายน้ำ วันนี้ได้กลายเป็นคนทุพพลภาพถาวรสิ้น
จากเมื่อวานมีงานทำหาเลี้ยงชีพ วันนี้ได้กลายเป็นคนไร้อาชีพโดนปลดงาน
จากเมื่อวานเป็นเจ้าของร้านอาหาร วันนี้ได้กลายเป็นคนขอทานจากคนอื่นกิน
ฯลฯ

... เพราะ ...

ในชีวิตของคนเราย่อมต้องมีสักครั้งที่ต้องพบเจอกับวิกฤตของชีวิต
วิกฤตที่ทำให้เรารู้สึกว่ามันเจ็บปวด ทรมาน สาหัสกว่าทุกครั้งที่เคยพบเจอ
วิกฤตที่เราไม่เคยคิดว่าชีวิตนี้จะได้เจอแต่เมื่อลืมตาขึ้นมามันก็อยู่ตรงหน้าเรา
วิกฤตที่ทำให้เราได้ประสบพบพานกับความมืดดำ ความเงียบงำภายในจิตใจ
วิกฤตที่นำพาสติเราหลุดล่องลอยออกไปไกลเกินกว่าจะแปรให้มันเป็นโอกาส
วิกฤตที่ทำให้เราตัดสินใจอยากจบลมหายใจเพราะไม่อยากทนทุกข์ทรมาน
ฯลฯ

... เมื่อใด ...

ที่ไร้ซึ่งแสงสว่างในชีวิต นั่นหมายถึง สติที่เราพึงมี
มันเปรียบเสมือนเราพลัดตกลงไปท่ามกลางมหาสมุทร
จะหยุดร้องเรียกหาคนมาช่วยก็ไม่ไหว
จะว่ายน้ำหนีตายก็ไร้ซึ่งกำลังกายใจ
ทำได้เพียงปล่อยตัวให้จมดิ่งลงไปกลางท้องทะเล
ใต้ผืนน้ำที่ควรจะเป็นสีฟ้าคราม
กวาดตามองข้าง ๆ เห็นแต่ความว่างเปล่าไร้สิ่งใด
มีเพียงความมืดดำสนิทอยู่รอบกาย
สมองสรรค์สร้างภาพปีศาจร้ายให้หวาดกลัว
เสียงคำรามดังก้องหูจนหวาดหวั่น
เสมือนมันจะฉุดร่างให้ดิ่งลึก
ทั้งร่างกายไม่อาจต้านไม่อาจฝืน
อยากเพียงแค่หลับตาลืมตื่นมาจากฝันร้าย

... ดังนั้น ...

เราไม่รู้เลยว่าคน ๆ นึงกำลังพบเจอกับปัญหา อุปสรรค เรื่องใดบ้าง
ความต้านทานในชีวิตของเขามีมากน้อยแค่ไหน

... จง ...

อย่าละเลยที่จะเสียสละเวลารับฟังคนใกล้ตัว
อย่ามัวแต่วิจารณ์มากกว่าพิจารณา
อย่ามองปัญหาของผู้อื่นเป็นเรื่องตลก
อย่าแสดงท่าทีรำคาญหากเขาเอาแต่เล่าเรื่องเศร้าซ้ำ ๆ ให้คุณฟัง

เพราะ ... คุณอาจจะเป็นสิ่งมีค่าเดียวในชีวิตเขาที่เหลืออยู่
เขาจึงเลือกที่จะเล่าหรือระบายความเศร้าเหล่านั้นให้คุณรับรู้


💗 วันนี้โปรดส่งกำลังใจให้แก่กันและกัน 💗

แล้วเตรียมพบกับบทความกำลังใจ From the darkest to the brightest ไปด้วยกันนะคะ


Pung'Noey :)

Monday, 23 March 2020

จริงหรือไม่!! คนไม่อดทน คือ คนล้มเหลว


     ประโยคสุดคลาสสิคที่ได้ยินมาตั้งแต่วัยเด็ก คือ คนอดทนมักจะประสบความสำเร็จ และเรามักจะได้ยิน ได้อ่าน เรื่องราวของผู้ประสบความสำเร็จที่ยืนอยู่บนหอคอยได้ถ่ายทอดประสบการณ์ แนวคิดการใช้ชีวิต การเดินทาง การต่อสู้ การตัดสินใจ การล้มลุกคลุกคลาน เพื่อไต่ไปยังหอคอยนั้นได้สำเร็จมานักต่อนัก



Photo By : Pung'Noey


     หากวันนี้คุณนำบทเรียนของผู้ที่ประสบความสำเร็จมาเป็นแรงบันดาลใจ เป็นแรงผลักดัน ให้คุณมีความหวัง มีพลังที่จะไต่ไปยังหอคอยนั้นบ้าง ถือเป็นการเรียนรู้ที่ดีของชีวิต แต่ความจริงที่คุณได้รับมันมักไม่ได้เป็นอย่างที่คุณฝันไว้ นั่นเพราะว่าคุณไม่อดทนจึงล้มเหลวใช่หรือไม่ มาสำรวจคำตอบให้กับชีวิตคุณกัน

1. จงยอมรับกับตัวเองก่อนว่า คุณล้มเหลวเพราะไม่อดทน หรือ เพราะคุณทนแล้วแต่ยังล้มเหลว
 ไม่มีใครสามารถประเมินความอดทนของคุณได้นอกจากตัวของคุณเอง เฉกเช่นเดียวกันกับความล้มเหลว ซึ่งก็ไม่มีใครตัดสินคุณได้ว่าสิ่งที่คุณทำมันล้มเหลวหรือประสบความสำเร็จเพียงใด เพราะมันเป็นเรื่องความพึงพอใจส่วนบุคคล คุณอาจจะอดทนแล้วแต่ก็ไม่ได้ผลอย่างใจต้องการได้ บางครั้งการได้ลงมือทำก็ถือว่าเป็นความสำเร็จในการกล้าตัดสินใจ ส่วนผลที่ได้จากการลงมือทำมันก็เป็นความสำเร็จของผลลัพธ์นั่นเอง

2. การที่คุณรู้สึกผิดหวังอาจเป็นเพราะคุณกำลังปีนหอคอยของคนอื่น
 คุณสังเกตไหมว่าผู้ที่ยืนอยู่บนหอคอยของความสำเร็จ คือ ผู้ที่สร้างหอคอยนั้นด้วยตนเอง ซึ่งหอคอยของผู้ประสบความสำเร็จของแต่ละคนมักจะมีกลิ่นอาย มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะบุคคล หากเราเอาแต่ไล่ปีนไต่หอคอยของเขา หรือ พยายามสร้างหอคอยในรูปแบบของเขา เขาก็จะพยายามสร้างหอคอยขึ้นสูงไปอีก ในโลกของการแข่งขัน ผู้นำควรมีความแตกต่าง แต่หากเราอยากได้หอคอยที่ไม่ซ้ำแบบใคร เราควรสร้างมันด้วยความคิด ความต้องการในรูปแบบของเราเอง จงหยิบเอาข้อคิด ความผิดพลาดทั้งจากเราและเขามาพัฒนาสิ่งที่เรามุ่งหวังดีกว่า

3. อย่าโฟกัสแค่คำว่าล้มเหลว หรือ สำเร็จ เพราะชีวิตไม่ได้ถูกลิขิตให้รู้จักแค่คำพวกนี้
 ในการเดินทาง การต่อสู้ การดิ้นรน การลงมือทำ มันให้คุณได้มากกว่าคำว่าประสบการณ์ คุณอาจได้ค้นพบความสามารถอื่น ๆ ในตัวเอง คุณอาจได้ความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ จากความพึงพอใจในบางเหตุการณ์ คุณอาจได้คำตอบในสิ่งที่กำลังค้นหา คุณอาจได้ความฉลาดจากการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เข้ามาในชีวิต คุณอาจคิดได้ว่าการสร้างเรือสำเภาแล้วล่องไปในมหาสมุทร อาจสนุกกว่าการสร้างหอคอย

4. วันนี้คุณไม่ใช่คนที่ไม่มีความอดทน แค่เพราะคุณกำลังเหนื่อย
 เราเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนมีความอดทนกันทุกคน แต่จะมากน้อยเพียงใด ก็ตามแต่ละปัจจัยส่วนบุคคล ถ้าหากคุณกำลังคิดว่าตัวเองไม่มีความอดทน จงรู้ไว้ว่า คุณแค่กำลังเหนื่อย ... จงหลับตา หยุดความคิด แต่ไม่ต้องยุติความหวัง เพียงนอนพักผ่อน รับอ้อมกอดจากตัวเองและคนที่คุณรัก อย่ากลัวว่าการหยุดพักจะทำให้เราไปถึงเส้นชัยช้ากว่าคนอื่น ถ้าใจคุณยังมุ่งมั่น ต่อให้เดินช้ากว่าเขา 10 ก้าว คุณก็ยังไปถึง ไม่ต้องไปคิดว่าต้องแข่งขันกับใคร คุณแข่งกับใจคุณก็พอ ยังไงก็ห้ามท้อ ต้องสู้ไหว!! สู้สิ!! ✌


"ผลลัพธ์อันน่าพึงพอใจ มักเกิดจากความอดทนอันชาญฉลาด 
วินัยที่ไม่ขาด ข้อผิดพลาดที่ไม่มองข้ามไป"


ขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านนะคะ 💗

Pung'Noey :)



Thursday, 19 March 2020

5 เหตุผลส่วนตัว สำหรับการตัดสินใจซื้อประกัน Covid-19 (Coronavirus Insurance)


     ก่อนอื่นต้องขออนุญาตเขียนบทความนี้แบบกันเอ๊ง กันเองหน่อยนะคะ เพราะไม่อยากให้อ่านแบบเครียด ๆ กัน เนื่องจากเป็นการรีวิวความคิดที่ค่อนข้างส่วนตัวมาก ๆ ซึ่งอาจไม่ค่อยตรงใจ หรือ ให้ความรู้ได้มากมายนัก


     หลาย ๆ ท่านคงได้ยินชื่อ ไวรัสโคโรน่า (Coronavirus) ซึ่งเป็นไวรัสสายพันธุ์ใหม่  และตั้งชื่อโดยองค์การอนามัยโลกว่า 2019-nCoV หรือ 2019 novel Coronavirus และต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น "COVID-19" จนถึงปัจจุบัน ที่กำลังระบาดไปทั่วโลกในขณะนี้แล้ว และคงได้เห็นข่าวคราวยอดผู้ป่วย ผู้เสียชีวิต ที่เพิ่มมากขึ้นทุกวันจากทั่วทุกมุมโลก ความร้ายกาจของเชื้อไวรัสนี้ ที่ยังไม่รู้ต้นตอที่มาอย่างแน่ชัด รวมทั้งยังไม่มียารักษา หรือ วัคซีนป้องกัน ซึ่งเป็นที่น่าวิตกกังวัลสำหรับใครหลาย ๆ คนอยู่ในตอนนี้ อาจก่อให้เกิดความเครียด โรคแพนิค (Panic Disoder) กับเราได้


Photo By : Pung'Noey


     และจากสถานการณ์นี้เอง จึงมีหลาย ๆ บริษัท เปิดโครงการประกันคุ้มครองความเสี่ยงอันเกิดจากสาเหตุการติดเชื้อไวรัสโคโรน่า (Covid-19) เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระค่ารักษาพยาบาลในกรณีที่เราได้รับเชื้อดังกล่าว ซึ่งส่วนตัวเราได้ทำการศึกษาเงื่อนไข เบี้ยประกัน ความคุ้มครอง จากหลาย ๆ บริษัท เพื่อเลือกให้ตรงกับบริบทของชีวิตมากที่สุด (ต้องขอออกตัวก่อนว่า เป็นคนที่ไม่มีความรู้เรื่องประกันอะไร ใด ๆ ทั้งสิ้น และไม่ค่อยสนใจเรื่องประกันต่าง ๆ สักเท่าไร) โดยจะขอแชร์ความคิดแบ่งเป็น  5 ข้อดังนี้

1. เลือกซื้อกรมธรรม์แบบ ตรวจเจอเชื้อไวรัสโคโรน่า (Covid-19) รับเงินก้อนทันที เนื่องจากได้คิดมาแล้วว่าชีวิตคงได้ร้อนเงิน 555555+  เพราะตัวเราได้ทำงานประจำอยู่กับบริษัทเอกชน หากได้รับเชื้อจริง ๆ คงได้กักตัวอยู่บ้านหรือโรงพยาบาล มีสิทธิประกันสังคมในการรักษาตัว แต่อาจขาดรายได้จากการหยุดงาน มันส่งผลกระทบต่อหนี้สินประจำเดือนที่ยังมีอยู่เยอะ ดังนั้นการเลือกกรมธรรม์แบบรับเงินก้อนอาจเอามาใช้จ่าย พยุงความเดือดร้อน ไปได้ชั่วขณะนึง

2. ข้อตกลงและความคุ้มครองที่เลือก จะเป็นแบบตรวจเจอเชื้อไวรัสโคโรน่า (Covid-19) รับเงินก้อน พร้อมได้รับเงินชดเชยระหว่างรักษาตัวเป็นผู้ป่วยใน ในโรงพยาบาล (สูงสุด 14 วัน) และ ได้รับผลประโยชน์การเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ (อ.บ.1) โดยมีระยะเวลารอคอย 14 วัน หลังจากชำระเงิน ซึ่งตรงนี้อยากบอกว่าเราพลาดนิดนึงคือ ไม่ค่อยได้ติดตามข่าวสารว่ามีการขายประกันดังกล่าว กว่าจะรู้เรื่องหลายบริษัทก็ปิดโครงการ หรือ เปลี่ยนเงื่อนไขการรับประกันไปแล้ว ซึ่งก็พยายามตามหาประกันที่คุ้มครองทันที แต่ ณ ตอนนี้หาไม่ได้แล้วจ้า อยากบอกว่านี่คือตัวอย่างที่ไม่ดีในการไม่ติดตามข่าวสาร อย่าเลียนแบบนะคะ (เสียใจ 😂)

3. บางคนอาจคิดว่าทำไมไม่ซื้อประกันสุขภาพที่ครอบคลุมทุกโรค ทำไมต้องซื้อประกันเฉพาะอย่างแบบนี้ล่ะ ถ้าไม่ตายด้วยโรคนี้ อาจตายด้วยโรคอื่นก็ได้ ซึ่งขอบอกว่า มันเป็นความคิดส่วนตัวของแต่ละคนไม่ขอก้าวก่ายแต่อย่างใด แต่ส่วนตัวเราที่ตัดสินใจซื้อประกันแบบนี้ก็เพราะ เหตุผลตามข้อ 1 เลยค่ะ ร้อนเงินค่ะ อยากได้เงินก้อน ...แฮร่!! ไม่ใช่!! 5555555+  ถ้าเอาแบบสาระหน่อยเรามองว่า มันเป็นเรื่องของการวางแผนชีวิตของแต่ละคนที่แตกต่างกันตามแนวคิดและบริบทของชีวิต บางคนไม่มีกำลังทรัพย์มากพอจะซื้อประกันดี ๆ  สักตัว แต่สำหรับประกันตัวนี้ราคาไม่กี่ร้อยบาท ยังพอเอื้อมได้ บางคนอาจใช้ชีวิตสุ่มเสี่ยงกับการติดเชื้อตัวนี้ ก็อยากทำไว้เพื่อความอุ่นใจ บางคนอยากได้เงินก้อนมาเป็นทุนใช้จ่ายตอนรักษาตัว บางคนอยากได้ค่ารักษาพยาบาล เพราะเกรงว่าหากมีผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้น แล้วรัฐบาลรับรักษาไม่ไหว อย่างน้อยก็มีประกันตัวนี้ช่วยในการรักษาอยู่บ้าง หรือ บางคนมีประกันสุขภาพ ประกันชีวิตอยู่แล้ว อาจมองว่าการทำประกันโคโรน่าเพิ่มเติมเป็นการทับซ้อนสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับ ไม่มีความคุ้มค่า มันก็เป็นความคิดนานาจิตตังอ่ะเนอะ

4. หลาย ๆ คนถามว่า ทำประกันไปเขาจะจ่ายจริงไหม เชื่อถือได้หรือเปล่า ถึงเวลาเบิกเงินจะยุ่งยาก ข้อแม้เยอะไหม เราขอตอบตรงนี้เลยว่า ...”ไม่ทราบค่ะ”… 55555555+ เอาจริง ๆ นะ!! โรคนี้มันก็เพิ่งเกิดมาได้ไม่นาน บริษัทประกันก็เพิ่งคิดริเริ่มโครงการ บางคนที่มีกำลังทรัพย์ก็ซื้อไว้หลายกรมธรรม์ แต่ก็ยังไม่มีใครรีวิวว่าติดเชื้อไวรัสโคโรน่าจริง ขอรับเงินได้อย่างไรบ้าง แต่ถ้าเลือกได้ก็คงไม่มีใครอยากติดเชื้อ ถ้าต้องเอาปอด เอาสุขภาพไปแลกกับเงิน มันก็ไม่คุ้มเท่าไร ไม่อยากให้โฟกัสว่าเราจะได้รับเงินอย่างไร แต่อยากให้โฟกัสว่าเราควรป้องกันตัวเองอย่างไรไม่ให้ติดเชื้อ ดีกว่านะจ๊ะ

5. เมื่อบางคนสงสัยว่าทำประกันแล้วจะเสียเงินทิ้งหรือเปล่า ถ้าหมอวินิจฉัยออกมาว่าป่วยหรือตายด้วยโรคปอด ไม่ใช่สาเหตุจากการติดเชื้อไวรัสโคโรน่าล่ะจะทำยังไง หากบริษัทประกันบิดพลิ้วไม่ชดเชย ไม่คุ้มครอง ต้องไปตามฟ้องร้องกันอีกนะ ... บลา ๆ ๆ!! ... เอาเป็นว่า เรามองว่าเป็นความโชคร้ายของชีวิตไปล่ะกัน ถ้าถามว่าทำไมเราถึงคิดแบบนี้ ก็อยากบอกว่า เราทำประกันตัวนี้ด้วยเงินไม่ถึงหลักพันบาท เงินจำนวนนี้บางทีเราเอาไปกินข้าว ช๊อปปิ้ง ซื้อเครื่องสำอางค์ เปย์ผู้ชาย หมดมากกว่านี้อีก (ซึ่งบางครั้งการเปย์ผู้ชายก็ยังไม่ได้ใจเขา ถ้าซื้อประกันแล้วไม่ได้ความคุ้มครองก็คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง .... มองบวก 555555555+) ... กลับสู่โหมดสาระสักนิด ถ้ามันเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นจริง ๆ ก็ว่ากันไปตามสถานการณ์เนอะ อย่างที่รู้ทุกอย่างมีความเสี่ยง ติดเชื้อก็เสี่ยง ทำประกันก็เสี่ยง หลาย ๆ เรื่องในชีวิตก็อยู่บนความเสี่ยง เพียงแค่ว่าเรายอมรับความเสี่ยงกับสิ่งที่เราลงทุนไปได้มากน้อยแค่ไหนก็เท่านั้นเอง

     สุดท้ายนี้อยากฝากไว้ว่า บทความนี้ เป็นแค่ความคิดส่วนตัวของผู้เขียน มันอาจไม่ใช่ความคิดที่ดี ที่ถูกต้อง 100% มันอาจเป็นการมองชีวิต หรือ วางแผนชีวิตมิติเดียว ซึ่งอาจจะยังไม่รอบคอบมาก แต่ก็หวังว่าบทความนี้อาจจะมีประโยชน์สักนิดสำหรับผู้ที่กำลังคิดจะวางแผนซื้อประกันสำหรับไวรัสโคโรน่า (Covid-19)


     หลักง่าย ๆ ในการซื้อประกัน คือ เอาตัวเราเป็นหลัก ดูบริบทของชีวิตของเราเองว่าเหมาะกับประกันแบบไหน และที่สำคัญอย่าวิตกจนเกินเหตุ เราทำหน้าที่ป้องกัน วางแผนชีวิต ให้ดีที่สุด หากจะมีสิ่งใดเกิดขึ้นกับชีวิตเรานั่นคือสิ่งที่ต้องรับมือและผ่านมันไปให้ได้ ... เป็นกำลังใจให้นะคะ 💗






Pung'Noey :)




Friday, 7 February 2020

ฉันจะไม่บินไปคาบอาหารมาให้คุณกิน




     เมื่อฉันเปรียบตัวเองเป็นดั่งนกตัวนึง ซึ่งฉันเริ่มจากการเป็นลูกนกที่ไม่มีใครมาคอยดูแล ฉันต้องเริ่มหัดกางปีก หัดบิน หัดหาอาหาร ด้วยตัวเองมาตลอด กว่าที่ฉันจะได้เติบโตมาจนถึงวันนี้ ฉันใช้เวลาในการเรียนรู้ ลองผิด ลองถูก มาตั้งมากมาย ซึ่งกว่าจะรู้วิธียกปีก ฉันก็มั่วสลับกับการยกขามาก่อน กว่าจะรู้วิธีหัดบิน ฉันก็ร่วงก็ล้มจนกระดูกแทบหัก ช้ำใน มาหลายหน กว่าจะรู้ว่าควรหาอาหารจากไหน ควรกินอาหารอะไรที่จะทำให้ฉันแข็งแรงและโตขึ้น ฉันก็เสี่ยงกับการกินอาหารผิด ๆ มานับไม่ถ้วน

     การที่ฉันพยายามเรียนรู้ด้วยตัวเอง มันไม่ได้แปลว่า ฉันหยิ่ง ไม่ถามใคร ไม่ขอความช่วยเหลือจากใคร หรือ อยากแสดงความเก่งกาจของตัวเองให้ใครชื่นชม เพราะในความเป็นจริงของชีวิตมันเป็นเรื่องยากมากหากต้องเอ่ยปากบอกใคร แล้วเขายินดีช่วยด้วยความหวังดีจริงใจ ยิ่งในชีวิตที่ต้องแข่งขันกัน คำว่า "น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า" แทบหาไม่เจอ ดังนั้น ฉันบอกตัวเองเสมอว่า ความโชคดีของฉันอาจไม่ได้มาจากการเจอคนช่วยเหลือ แต่ความโชคดีของฉันมาจากความตั้งใจและความพยายามของฉันเอง

     เมื่อวันนี้ฉันเป็นนกที่โตขึ้น ฉันกางปีกเป็น ฉันบินเก่งได้ ฉันรู้วิธีที่จะหาแหล่งอาหารให้ฉันเติบใหญ่ ฉันมีเรี่ยวแรงมากพอที่จะบินไปหาประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้กับชีวิต

     สุดท้าย ฉันพร้อมที่จะบอกคุณได้ว่า แหล่งอาหารที่อร่อยและสามารถทำให้คุณเจริญเติบโตได้นั้นอยู่ตรงไหน แต่ฉันจะไม่บินไปคาบอาหารนั้นมาให้คุณกิน



จงใช้ความพยายามที่คุณมีทำมันก่อน

เพราะถ้าคุณได้ลองลงมือทำมันเอง

คุณอาจได้พบของอร่อยที่ไม่ต้องรอใครมาบอก


Please do it yourself ❤

Pung'Noey :)