ในขณะที่ฉันกำลังงุ่นง่านกับการค้นหาเอกสารในตู้เก็บของใบเก่า มันเป็นตู้ไม้ที่อยู่กับครอบครัวของเรามาเกิน 10 ปีแล้ว นอกจากจะใช้เป็นตู้เก็บเอกสาร เก็บของใช้ต่าง ๆ แล้ว มันยังเป็นตู้ที่เก็บความทรงจำของฉันเอาไว้ด้วย
หนึ่งในความทรงจำของฉัน ถูกรื้อค้นขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อยามที่สายตาไปสะดุดกับสมุด Friendship สมุดสุดฮิตที่ต้องมีในวัยมัธยม ฉันละจากการค้นหาเอกสารโดยพลัน แล้วหยิบสมุดเล่มนั้นมานั่งเปิดอ่านในห้องนั่งเล่น สภาพสมุดยังดูสมบูรณ์ ซึ่งก็มีเพียงสีปกที่ดูซีดจางลงไปบ้างตามกาลเวลา
Photo By : Pung'Noey |
เมื่อเปิดหน้าแรกของ
Friendship ก็จะได้พบกับประวัติชีวิตส่วนตัวของฉัน
ซึ่งในตอนนั้นก็คิดว่าข้อมูลที่เขียนนั้นดีมากแล้ว
อีกทั้งลายมือที่เขียนก็ดูไม่ค่อยบรรจงสวยงามสักเท่าไร ถ้าให้บรรยายคงต้องใช้คำว่า
“เขียนแบบภาษาวัยรุ่น”
ในยุคนั้น
เมื่อเปิดหน้าถัดไปจะได้พบกับรูปถ่ายจากกล้องฟิล์ม
ที่อัดล้างออกมาติดในสมุดเป็นรูปถ่ายหมู่คณะที่ประกอบไปด้วยอาจารย์ประจำชั้นพร้อมทั้งเพื่อน
ๆ อีกหลายสิบคน ซึ่งในสมุดเล่มนี้นั้นเขียนระบุไว้ว่าเป็นภาพถ่าย เดือนกุมภาพันธ์
พ.ศ.2549 จากวันนั้นจนถึงวันนี้วันที่ฉันกำลังเขียนบทความเรื่องนี้อยู่
มันผ่านมาแล้วเป็นเวลากว่า 14 ปี ซึ่งฉันในตอนนั้นกับฉันในตอนนี้
หน้าตาไม่ได้ดูเปลี่ยนไปสักเท่าไร แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปอย่างมากมาย คือ
น้ำหนักตัวที่มากขึ้นตามอายุ
ฉันนั่งไล่เรียงดูหน้าเพื่อน
ๆ แต่ละคนด้วยความคิดถึง และบุคคลที่ฉันยังคงระลึกนึกถึงอยู่เสมอ คือ
อาจารย์ประจำชั้น นามของท่านคือ อาจารย์ วนิดา ท่านเป็นอาจารย์ที่น่ารัก ใจดีกับฉันมาตลอด
คอยประสิทธิ์ประสาทวิชา
คอยผลักดันฉันอยู่เรื่อยมา ในวันนี้ฉันหวังว่าอาจารย์จะยังคงมีสุขภาพที่ดี
และมีความสุขสมบูรณ์
เมื่อไล่เปิดสมุดดูถัดไปเรื่อย
ๆ จะได้พบกับรูปถ่ายจากกล้องฟิล์มอีกเช่นเคย เป็นรูปถ่ายที่มีจำนวนไม่มากเพราะค่าอัด
ค่าล้างในสมัยนั้นก็หลายสิบบาทอยู่ รูปเหล่านั้นเป็นรูปถ่ายกับกลุ่มเพื่อนสนิทที่ฉันรักมากที่สุดอีกส่วนหนึ่งของชีวิต
เป็นรูปถ่ายตอนที่ฉันได้ไปทัศนศึกษาที่ต่างจังหวัด มันทำให้ฉันนึกขึ้นได้ว่าเมื่อก่อนฉันมีความสุขมากแค่ไหน
นั่งดูไป ยิ้มไป เพลินตาดี
และอีกสิ่งหนึ่งในสมัยวัยมัธยมที่นิยมทำกัน
คือ การแลกรูปกันเพื่อนำมาติดในสมุด Friendship พร้อมเขียนชื่อ – นามสกุล ของเพื่อน ๆ
แต่ละคนไว้อย่างดี มาคิดดูอีกทีก็ดีเหมือนกัน จะได้ไม่ลืมชื่อ ลืมหน้ากันไป
ส่วนต่อไปที่สำคัญไม่แพ้กันของสมุด
Friendship เล่มนี้ คือ การบรรยายความในใจของเพื่อน
ๆ ที่มีต่อฉัน บางคนเขียนสั้นบ้าง บางคนเขียนยาวบ้าง แตกต่างกันไปตามความสนิท
บางคนก็เลือกเขียนหน้าตามสีของสมุดที่ชอบ
ซึ่งก็จะทำให้หน้าสมุดเว้นวรรคขาดตอนเป็นเรื่องธรรมดา
Photo By : Pung'Noey |
แต่เนื้อหาในสมุดที่มันสะดุดความรู้สึกของฉัน คือ การเขียนบรรยายความรู้สึกของเพื่อนสนิท ที่ตอนนั้นเราไม่ได้สนิทกันแล้ว นี่คือ อีกหนึ่งความทรงจำที่เจ็บปวดของชีวิต เพราะ ฉันคือคนที่ถอยออกห่างความสัมพันธ์ คำว่า “เพื่อนสนิท” ฉันจำได้ดีว่ามีเหตุผลอะไรที่ทำให้ฉันต้องตัดสินใจแบบนั้น แต่ฉันไม่เคยเอื้อนเอ่ยบอกเหตุผลที่แท้จริงกับเพื่อน ๆ เลยสักนิด
ฉันมีเพื่อนสนิทอยู่
3 คน เราเรียนด้วยกันมาตั้งแต่อนุบาล 1
เมื่อเทอมที่สองของชั้น ม.3 มันมีเหตุการณ์จากความประพฤติที่ไม่ดีของฉัน
ฉันกลัวว่าจะทำให้เพื่อน ๆ ต้องเดือดร้อน หรือ อึดอัดใจในการที่มีฉันอยู่ในกลุ่ม
ฉันจึงตัดสินใจเดินออกจากความสัมพันธ์อันดี และใช้ชีวิตตัวคนเดียวในเทอมสุดท้ายของภาคเรียนนั้น
ฉันเสียใจที่สุดและฉันยังจำได้ดีว่าฉันมีเพื่อนสนิทที่ฉันรักและเธอทุกคนก็น่ารักกับฉันมาก
ฉันกล้าที่จะพาตัวเองออกจากกลุ่ม
แต่ฉันไม่กล้าที่จะบอกถึงเหตุผลจริง ๆ ว่าทำไมฉันถึงทำอย่างนั้น และความขี้ขลาดยังรวมไปถึงการที่ฉันไม่กล้าที่จะเอ่ย
คำว่า “ขอโทษ” ฉันภาวนาว่าสักวันเธอเหล่านั้นคงได้รับรู้จากการเปิดอ่านบทความนี้
14 ปีผ่านมาแล้ว
มันคงไม่สามารถทำให้เรากลับมาสนิทกันได้อีกครั้ง ซึ่งก็ถือว่าเป็นบทเรียนสำคัญของชีวิต มันเป็นทั้งความทรงจำที่ดีและเจ็บปวด
ฉันคิดว่าชีวิตก็เหมือนละครที่ย่อมมีตอนอวสาร มันอาจไม่สมบูรณ์แบบ มันอาจไม่ Happy
Ending แต่ฉันยังคงยิ้มได้ทุกครั้งที่นึกถึง
มันยังคงมีความทรงจำอื่น ๆ จากเพื่อน ๆ อีกหลายคน มีเหตุการณ์ที่น่ารัก ทรหด
กลั่นแกล้งกันบ้างตามประสาเด็กน้อย ทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนมีคุณค่าในชีวิตทั้งสิ้น
ขอบคุณสมุด Friendship
ที่ทำให้เรายังจำ Friend และความ Ship หายของตัวเองได้ทุกตอน
ภาพสีจาง ความทรงจำเลือนลาง แต่ ความรู้สึกยังชัดเจน
.... Friendship
Pung'Noey :)